ความสำคัญของจริยธรรม
ในอดีตสังคมไทยค่อนข้างสงบสุขเพราะคนส่วนใหญ่ยังยึดหลักธรรม
ในทางศาสนาเป็นที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยวรวมทั้งยังปฏิบัติตามขนบธรรมเนียม จารีต ประเพณีอันดีงามของชาติ แต่สังคมไทย ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จากความเจริญทางวัตถุ จากการรับวัฒนธรรมตะวันตก รวมทั้งสื่อเทคโนโลยีต่างๆ สิ่งเหล่านี้ได้ส่งผลกระทบต่อสังคมไทยเป็นอย่างมาก ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสังคม ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาครอบครัวโดยเฉพาะกับ
เยาวชนซึ่งยังไม่มีวิจารณญาณ มากนัก ในการจัดการกับปัญหาต่างๆ ที่เข้ามากระทบ
กับชีวิตทำให้เยาวชนบางส่วน ตกอยู่ในภาวะที่สับสน และเกิดความขัดแย้งในค่านิยม ก่อให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนาเป็นเหตุให้คุณธรรมจริยธรรมที่เหมาะสม
กับสังคมไทยเริ่มจะเสื่อมโทรมลงไป
มูลนิธิกลุ่มศรัทธาธรรมเป็นองค์กรการกุศลมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแผ่ธรรม
และจรรโลงไว้ซึ่ง พระพุทธศาสนา มูลนิธิฯได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของธรรมะ
ในพระพุทธศาสนา และตระหนักว่าปัญหาต่างๆ คงจะไม่เกิดขึ้น ถ้าทุกคนยึดถือ
และปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนในทางศาสนา และนำหลักธรรมของศาสนานั้น
มาเป็นมัคคุเทศก์ ส่องทางดำเนินชีวิตในด้านต่างๆ อย่างเพียงพอ และเหมาะสม เป็นสุจริตถูกต้องแล้ว ก็รับประกันได้ว่าชีวิตนั้นจะเป็นชีวิตที่สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ที่ชีวิตกำลังเผชิญได้ สามารถนำความสุข ความปลอดภัย ตลอดทั้งความสำเร็จ
ในสิ่งอันพึงปรารถนาให้แก่ตนเองและสังคมโดยส่วนรวมได้ รวมทั้งรูปแบบ
การดำเนินชีวิต ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีก็จะออกมาในรูปที่ดี ส่งเสริม
ความสามัคคี ความเป็นเอกภาพ และเอกลักษณ์ของชาติได้
กิจกรรมของมูลนิธิกลุ่มศรัทธาธรรม
มูลนิธิฯ มีโครงการส่งเสริมและเผยแผ่ธรรมในหลายรูปแบบ ทั้งโครงการ
เผยแผ่ธรรมทางหนังสือ อริยธรรม ออกเผยแผ่ปีละ ๒ ครั้ง ในเดือนมิถุนายน และเดือนธันวาคม การเผยแผ่ธรรมทางวิทยุในรายการ แสงธรรมนำชีวิต ออกอากาศทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา ๐๕.๓๐ - ๐๖.๐๐ น. ทางสถานีวิทยุทหารอากาศ
เชียงใหม่ เอ.เอ็ม ๑๓๒๓ กิโลเฮิร์ท การเผยแผ่ธรรมทางอินเตอร์เน็ตทางเว็บไซด์ ww.geocities.com/cmdsg.geo/index.htm. โครงการศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนา
วันเสาร์ โครงการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานและโครงการอบรมคุณธรรมจริยธรรม
แก่เยาวชน
ความเป็นมาของศูนย์อุทยานธรรม
ศูนย์อุทยานธรรมเป็นศูนย์ฝึกอบรมและเผยแผ่ธรรมของมูลนิธิกลุ่มศรัทธาธรรม เริ่มเปิดดำเนินการเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๓ ตั้งอยู่ ณ หมู่ที่ ๒ ถนนคันคลองชลประทาน (หลังโรงเรียนน้ำบ่อหลวงวิทยาคม) ตำบลน้ำบ่อหลวง อำเภอสันป่าตอง จังหวัด
เชียงใหม่
ศูนย์อุทยานธรรมริเริ่มก่อสร้างโดยคุณพรพรรณ สุจริตวณิช ร่วมกับ
คณะกรรมการมูลนิธิฯ ซึ่งขณะนั้นเป็นประธานมูลนิธิฯ อยู่ มีความประสงค์
อยากจะเผยแผ่ธรรม โดยการทำศูนย์ฝึกอบรม ซึ่งได้ไปดูสถานที่หลายแห่ง ทั้งในจังหวัดเชียงใหม่และลำพูนอยู่เป็นเวลานาน แต่ก็ยังไม่ได้ที่ที่
คณะกรรมการมูลนิธิฯ ถูกใจ
ขณะนั้นมีหลวงพ่อรูปหนึ่งที่เคารพนับถือ ท่านอยู่ที่จังหวัดจันทบุรี ท่านได้เขียนจดหมายมาหาแล้วทักขึ้นว่า หลวงพ่อขออนุโมทนาบุญด้วย ูจะได้ทำในสิ่งที่น้อยคนนักจะทำได้ นับว่าไม่เสียทีที่ได้เกิดมา ในอนาคตู
จะได้สร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมที่ใหญ่แห่งหนึ่งของภาคเหนือ ขอให้อดทนทำไปนะ เมื่อถึงเวลาจะมีคนเข้ามาช่วยสนับสนุนเอง
หลังจากนั้นไม่นานก็มีพระผู้ใหญ่หลายรูป ในจังหวัดเชียงใหม่ ขอจารึก
ชื่อท่านเหล่านั้นไว้ ณ ที่นี้ ด้วยความเคารพ คือ หลวงตาบุญทรง สุกัณศีล วัดห้วยส้ม อำเภอสันป่าตอง พระอาจารย์สัจจา สัญญโต วัดหนองอุโบสถ อำเภอสันทราย และพระครูภาวนาวิรัช วัดร่ำเปิง อำเภอเมือง (ขณะนั้นท่านเป็นที่ปรึกษามูลนิธิ) ช่วยพูดกับเจ้าอาวาส วัดน้ำบ่อหลวง (พระครูธรรมาภิรม) ซึ่งท่านเป็นเจ้าคณะ
อำเภอสันป่าตองด้วย จนมูลนิธิได้รับอนุญาตจากวัดน้ำบ่อหลวง ให้ใช้ที่ธรณีสงฆ์ของ
วัดจำนวนราว ๙ ไร่ เพื่อเป็นศูนย์เผยแผ่ธรรม เมื่อปลายปี ๒๕๔๒ และก่อนจะเริ่มก่อสร้างตัวอาคาร ต้องขุดเจาะน้ำบาดาลก่อนเพราะที่แปลงนี้ไม่มีน้ำ ซึ่งทางมูลนิธิฯ ได้รับความอนุเคราะห์จากศูนย์ขุดเจาะบ่อบาดาลของกรมโยธาธิการ มาขุดเจาะน้ำบาดาลให้ ขุดลึก ๖๐ กว่าเมตรได้น้ำ ๒ ระดับ คือที่ระดับ ๓๐ กว่าเมตร และระดับ ๔๐ กว่าเมตร ส่วนไฟฟ้าระยะแรกศูนย์อุทยานธรรมต่อไฟฟ้าจาก
วัดน้ำบ่อหลวง จนเมื่อกลางปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ทางศูนย์ได้ขยายเขตไฟแรงสูง
จากการไฟฟ้าสันป่าตอง ขนาดกำลังไฟ ๕๐ แอมป์ ๓ เฟส
หลังจากนั้นก็ทยอย ก่อสร้างอาคารมาเรื่อยๆ จนปัจจุบัน (พ.ศ.๒๕๔๘) มีอาคารอเนกประสงค์ ๕ หลัง ห้องน้ำ ๓๑ ห้อง กุฎิ ๗ หลัง โดยทั้งหมดได้รับ
การสนับสนุนทางการเงินจากผู้มีจิตศรัทธา ซึ่งส่วนใหญ่เห็นประโยชน์ใน
กิจกรรมที่มูลนิธิฯ ดำเนินการอยู่ทั้งสิ้น
หลังจากทำบุญเปิดศูนย์ฯ เมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๔๓ มูลนิธิฯ ก็เริ่มเผยแผ่ธรรม โดยการจัดคอร์สวิปัสสนาเฉลิมพระเกียรติขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในช่วงวันพ่อต้นเดือน
ธันวาคม ๒๕๔๓ และจัดอีกเรื่อยๆ ในครั้งต่อๆ มา (อันที่จริงมูลนิธิฯ ได้เริ่ม
จัดคอร์สวิปัสสนากรรมฐานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๙ คือ ตั้งแต่ยังไม่ได้จดทะเบียน
เป็นมูลนิธิฯ แต่ใช้ชื่อว่า กลุ่มศรัทธาธรรม โดยจัดประจำที่วัดร่ำเปิง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ในช่วงวันแม่ของทุกปีต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน)
|