| home | พุดตานกถา | แก้ปัญหาได้ก็หายเครียด | แบบประเมินความเครียด | ปรากฎการณ์มหัศจรรย ์| ผู้รู้แห่งธิเบต |
| พระพุทธศาสนา (ตอนที่๒๑) | สมาธิเพื่อสุขภาพ | แนวทางเจริญวิปัสสนา | ธรรมะในมิลินทปัญหา | รายนามผู้บริจาค |


 

 
 
 
 

 ทางออกของชีวิต

            ครั้งหนึ่ง ท่านมิลาเรปะ ได้พูดแก่โยมอุปฐากชื่อชินโดรโมว่า“ ถ้าคุณโยมมีกายอันมีค่ายิ่ง และได้มาเกิดในสมัยและในดินแดนที่พระพุทธศาสนา มีคนนับถือ อยู่ทั่วไปแล้วไม่ปฏิบัติธรรมนั้นเลย มันเป็นความเขลามากจริง ๆ ” พูดแล้วท่านมิลาเรปะ ก็ร้องสวดธรรมคีตาของท่าน ดังนี้

ข้าพเจ้าขอน้อมนมัสการ
ณ เบื้องบาทของท่านอาจารย์มารปะ ผู้ไขความ
และร้องสวดแก่คุณโยมผู้ชายผู้อุปฐากทั้งหลาย
ซึ่งเปี่ยมด้วยศรัทธา
มันเป็นความโง่เซอะสักเพียงใด
ที่กระทำบาปด้วยความประมาทไร้ความคิด
ทั้ง ๆ ที่ธรรมะแท้ ๆ แผ่ซ่านไปรอบกายคุณโยม
ทั้ง ๆ ที่ธรรมะแผ่คลุมอยู่ทั่วไป
มันเป็นความเขลาสักเพียงใด
ที่คุณโยมใช้เวลาของชีวิตไปโดยไร้ความหมาย
ในเมื่อร่างกายของมนุษย์อันมีค่ายิ่งนี้
เป็นของกำนัลที่ได้มาโดยยากนัก
มันเป็นความบัดซบสักเพียงใด
ที่มัวยึดเหนี่ยวอยู่กับนครอันสวยหรูทั้งหลาย
ซึ่งเป็นประดุจเรือนจำ
และมันเป็นความบัดซบสักเพียงใด
ที่พอใจจะยั้งรออยู่ในนั้น
มันน่าหัวเราะสักเพียงใด
ที่เอาแต่ต่อสู้และทะเลาะกับภรรยาของคุณโยม
และญาติพี่น้องซึ่งแท้จริงเป็นเพียงผู้มาเยี่ยมคุณโยมเท่านั้น
มันเป็นการไร้เหตุผลสักเพียงใด
ที่ใฝ่ใจแต่จะพูดคำอ่อนหวานละมุนละไม
ซึ่งเป็นเพียงเสียงสะท้อนอันไร้แก่นสารในความฝัน
มันเป็นความเซ่อสักเพียงใด
ที่จะไม่ใยดีต่อชีวิตของตน
โดยใช้ให้มันหมดไปกับการต่อสู้ศัตรู
แท้จริงชีวิตก็เป็นเพียงดอกไม้ที่บอบบางสลายง่าย
มันเป็นความเขลาสักเพียงใด
ในเมื่อกำลังจะตายอยู่แท้ ๆ ก็ยังแส่หาเรื่องทรมานตน
ด้วยความนึกคิดถึงครอบครัว ซึ่งเป็นสิ่งผูกพันตน
ให้ติดแน่นอยู่ในคฤหาสน์ของมายา
มันเป็นความโง่เซอะสักเพียงใด ที่มัวหวงทรัพย์สินเงินทองไว้
มันเป็นเพียงหนี้ เพราะกู้มาจากคนอื่น
มันเป็นความเซ่องมงายสักเพียงใด
ที่มัวเมาจะเสริมสวย และตกแต่งประดับประดาร่างกาย
ซึ่งเป็นแต่เพียงภาชนะที่เต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูล
มันเป็นความเซ่อสักเพียงใด
ที่ใช้ประสาทจนตึงเครียด
เพื่อกอบโกยเอาทรัพย์สมบัติและสินค้าที่มีราคาทั้งหลาย
และทอดทิ้งน้ำอมฤตของคำสอนเรื่องภายใน
ในท่ามกลางหมู่คนโง่
ผู้เห็นชัดและรู้ดีรู้ชั่ว
ควรประพฤติธรรมเช่นเดียวกับอาตมา

ปณิธานแน่วแน่ ๖ ประการ

            โยคีผู้หนึ่ง มีความเลื่อมใสในท่านมิลาเรปะมากพร้อมกับโยมอุปฐากอื่น ๆ ได้นำเอาเครื่องสักการะบูชามากมายมาถวายท่าน และได้ถามท่าน มิลาเรปะว่า “ ท่านอาจารย์ได้บากบั่นปฏิบัติอย่างไร จึงผ่านการทดลองที่แสนจะยากลำบากทั้งหลาย จนประสบผลสำเร็จ ...... ”

         ท่านมหาโยคีมิลาเรปะตอบว่า

เมื่อตนได้หมดความสนใจในโลกนี้แล้ว
ศรัทธาและความใฝ่หาธรรมะย่อมแน่วแน่ยิ่งขึ้น
การสละความผูกพันกับบ้านเรือนทำได้ยากมาก
ด้วยการละจากดินแดนดั้งเดิมของตนเท่านั้น
ตนจึงรอดพ้นจากความโกรธ
มันเป็นการยากที่จะเอาชนะตัณหาราคะที่เผาลนอยู่
ตัณหาราคะที่มีต่อญาติและมิตรสนิททั้งหลาย
ทางที่ดีที่สุดที่จะดับความกระหายเร่าร้อนนั้นก็คือ
เลิกสมาคมกับคนเหล่านั้นทั้งหมด
เมื่อตนไม่เคยรู้สึกเลยว่า ตนนั้นรุ่มรวยพอแล้ว
จงชื่นชมเท่าที่ได้รับนั้นเถิด
และสมควรใช้เครื่องนุ่งห่มที่ทำด้วยผ้าฝ้ายธรรมดา ๆ
ด้วยลักษณะเจียมตน
เช่นนั้นแหละ อาจทำให้ชนะความอยาก
และความไขว่คว้าอย่างรุนแรงที่มีอยู่มาก ๆ นั้นได้

มันเป็นการยากนักคุณโยม
ที่จะหลีกเลี่ยงแรงเสน่ห์ของโลก
ด้วยการมุ่งมั่นอยู่กับความเจียมตัวเท่านั้น
ความปรารถนาหาความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม จึงระงับไปได้

มักเป็นการยากนักคุณโยม
ที่จะเอาชนะความหยิ่งถือตัวและความหลงตน
ดังนั้นจงไปอยู่ที่คูหาในสิงขรเหมือนกับสัตว์ทั้งหลาย
คุณโยม ผู้อุปฐากและเต็มเปี่ยมด้วยศรัทธาทั้งหลาย
เช่นนั้นแลคือความเข้าใจจริงแท้
ซึ่งงอกเงยมาจากความอุตสาหะพยายาม
อาตมาปรารถนาให้คุณโยมทุกคน
กระทำซึ่งกรรมทั้งหลาย ที่มีสาระ
และสร้างสมเอาไว้ซึ่งบุญกุศลทั้งปวง

  มหาสมุทรแห่งสังสารวัฏฏ์

            วันหนึ่งท่านมิลาเรปะได้ออกไปบิณฑบาต และได้พบปะผู้ประพฤติธรรมหมู่หนึ่ง และคนเหล่านั้นได้พูดจาดูหมิ่นเหยียดหยามท่านแต่มีคนหนึ่ง ในหมู่นั้น จำท่านได้ จึงพูดแก่ท่านว่า “ โปรดร้องสวดสอนเราเถิด โปรดดลใจพวกเราที่มาชุมนุม ณ ที่นี้ให้สว่างด้วยเถิด ”

            ท่านมิลาเรปะ จึงเปล่งเสียงร้องก้องออกมาดังนี้

อนิจจา . วัฏฏสงสารนี้ ไม่เหมือนดั่งทะเลหรือ ?
แม้เราตักตวงเอาน้ำขึ้นมามากที่สุด จนเราพอใจแล้ว
มันก็ยังมีอยู่เท่าเดิม เป็นเหมือนเดิม ไม่มีลดหาย
สิ่งที่มีค่ายิ่งทั้งสามนั้น ไม่เหมือนหนึ่งเขาพระสุเมรุ
ที่ไม่มีใครสามารถทำให้สั่นสะเทือนได้ กระนั้นหรือ ?
นี่มีพวกโจรมองโกลมารุกราน
ทำลายบรรณศาลาของโยคีทั้งหลายแล้วหรือ ?
เหตุไฉน โยคีทั้งหลายจึงมาพำนักอยู่ในเมือง
และในหมู่บ้านด้วยเล่า ?
ผู้คนเขาไม่กระหายอยากไปเกิดอีก
และอุบัติในภาวะบารโด * เช่นนั้นหรือ ?
แล้วไฉนเขาเหล่านั้นจึงมัวยึดเหนี่ยวอยู่กับสานุศิษย์ ?
เสื้อผ้าไหมผ้าขนสัตว์ในชาติหน้า
มันแพงกว่าในชาตินี้หรือ ?
แล้วไฉน ผู้หญิงเขาจึงมัวเมา
ทำกันมากมายนักในโลกนี้ ?


-----------------------------------------
             * ภาวะบารโด คือ ภาวะที่กึ่งกลางระหว่างการตายและการเกิดใหม่ตามความเชื่อ ทางพุทธศาสนาฝ่ายธิเบตภาวะนี้สำคัญมากบุคคลจะไป เกิดใหม่ดีหรือชั่วอย่างไร ขึ้นอยู่กับ ภาวะบารโด คำนี้ตรงกับคำว่า สัมภเวสีซึ่งพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทยังโต้แย้งอยู่ไม่ยอมรับว่ามีเพราะถือกันว่าการ ไปเกิดอีก เป็นการไปเกิดทันท่วงที ไม่มีภาวะอื่นใดแทรกเข้ามาเป็นทางผ่านแต่อีกความหมายหนึ่ง สัมภเวสีหมายถึงปุถุชนทุกคนที่ยังไม่บรรลุ มรรคผลนิพพาน ที่ยังไม่สำเร็จเป็นอรหันต์ตราบใดที่ยังมีเหตุให้เวียนเกิดเวียนตายในวัฏฏสงสาร ตราบนั้น แต่ละคนก็ยังเป็นสัมภเวสี ผู้แสวงหา
การเกิด ผู้เวียนเกิด

คนทั้งหลายกลัวกันว่าวัฏฏสังสารจะว่างเปล่าหรือ ?
แล้วไฉน ทั้งพระทั้งฆราวาสจึงพะวงอยากได้เด็ก ๆ ?
ท่านทั้งหลายเก็บออมอาหาร และเครื่องดื่ม
ไว้สำหรับชีวิตในโลกหน้าเช่นนั้นหรือ ?
แล้วไฉน ทั้งชายและหญิง จึงไม่แบ่งปันให้เป็นทาน
มันมีความยากลำเค็ญทุกข์ทรมาน
อยู่ในสวรรค์เบื้องบนโน้นด้วยหรือ ?
แล้วไฉน จึงมีคนวางแผนไปที่นั่นไม่กี่คน ?
มันมีความร่าเริงสำราญในนรกเบื้องล่างโน้นด้วยหรือ
แล้วไฉน จึงมีคนเป็นจำนวนมาก
เตรียมตัวที่จะไปเยี่ยมเยือนที่นั่น
ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่า ความทุกข์ทรมานทั้งหลาย
และภูมิเบื้องต่ำต่าง ๆ เป็นผลที่เกิดจากบาป
แน่แท้เทียว ท่านต้องรู้แล้วว่า
ถ้าท่านกระทำความดีตั้งแต่บัดนี้
เมื่อความตายมาถึง
ท่านจะได้รับความสงบใจ และไม่มีความเศร้าเสียใจใด ๆ

ความเปลี่ยนแปลง

            เมื่อฤดูใบไม้ร่วงย่างเข้ามาแล้ว ท่านมิลาเรปะก็ตัดสินใจจาก โลโวเหนือ สถานที่ซึ่งท่านได้อยู่สอนธรรมะมาตลอดฤดูร้อน ท่านประสงค์จะไป พำนักที่ หิมะสิงขร ชื่อ ดีเซ เมื่อพวกศรัทธาโยมอุปฐากทราบ ก็ได้มาห้อมล้อมแสดงความ เคารพสักการะแก่ท่านและพูดกับท่านว่า “ ท่านอาจารย์พึง มีความกรุณาแก่พวกเรา ซึ่งเป็นศิษย์ของท่านด้วยเถิด โปรดให้โอวาทแก่เราอีกสักครั้ง ”
            ท่านมิลาเรปะ จึงได้กล่าวย้ำถึงความผันแปรไม่แน่นอนของสรรพสัตว์ และตักเตือนให้ปฏิบัติธรรมอย่างขมีขมัน จากนั้นธรรมคีตาก็ดังกังวาน ออกมาจากปากของท่าน

สานุศิษย์ผู้ภักดีได้มาประชุมพร้อมกัน ณ ที่นี้
จงถามตัวอย่างว่า “ ข้าพเจ้า ได้ประพฤติธรรม
ด้วยความขยันขันแข็งหรือเปล่า ” ?
“ ศรัทธาอันลึกซึ้งยิ่ง
ได้ผุดขึ้นในดวงใจของข้าพเจ้าแล้วหรือ ” ?
บุคคลที่ต้องการประพฤติธรรม
และมีศรัทธาอย่างไม่ถดถอย
พึงฟังการกล่าวไขโลกียสัจจะนี้
และตรึกตรองความหมายของมันให้ดี
จงฟังอุทาหรณ์และคำเปรียบต่อไปนี้
ดอกไม้สีเขียวคราม ภาพเขียนด้วยทอง
น้ำไหลนองในหุบเขาเบื้องบน .
ข้าวในนาในหุบเขาเบื้องล่าง
ความอุดมสมบูรณ์ด้วยไหม เพชรมณีอันมีค่า
พระจันทร์เลี้ยว และลูกชายอันมีค่ายิ่ง
แปดอย่างนี้เป็นคำเปรียบ
ยังไม่เคยมีใคร เปล่งวจี
เป็นบทเพลงพาดพิงถึงเรื่องนี้มาก่อน
ไม่มีใครสามารถเข้าใจความหมายของมันได้
ถ้าไม่ใฝ่ใจฟังธรรมคีตานี้โดยตลอด

ภาพเขียนด้วยทองนั้น ครั้นเสร็จมันก็ซีดจาง
นี้แลแสดงให้เห็นถึง
ความเป็นมายาของภาวะทั้งปวง
นี้แลพิสูจน์ว่าเป็นธรรมชาติ
อันผันแปรของสรรพสิ่ง
คิดดูสิ แล้วคุณจะปฏิบัติธรรม

ดอกไม้สีเขียวครามที่น่ารัก
ก็จักถูกทำลายไปตามกาล
ด้วยหมอกหรือน้ำค้างแข็ง
นี้แลแสดงให้เห็นถึง
ความเป็นมายาของภาวะทั้งปวง
นี้แลพิสูจน์ว่าเป็นธรรมชาติ
อันผันแปรของสรรพสิ่ง
คิดดูสิ แล้วคุณจะปฏิบัติธรรม  

น้ำนองไหลเชี่ยวกรากลงยังหุบเขาเบื้องบน
ไม่นานกระแสน้ำก็อ่อนลงและไหลเอื่อย ๆ
เมื่อถึงพื้นราบ ณ เบื้องล่าง
นี้แลแสดงให้เห็นถึง
ความเป็นมายาของภาวะทั้งปวง
นี้แลพิสูจน์ว่าเป็นธรรมชาติ
อันผันแปรของสรรพสิ่ง
คิดดูสิ แล้วคุณจะปฏิบัติธรรม

ข้าวโตงามในหุบเขาเบื้องล่าง
ไม่นานก็มีเคียวมาเกี่ยวไป
นี้แลแสดงให้เห็นถึง
ความเป็นมายาของภาวะทั้งปวง
นี้แลพิสูจน์ว่าเป็นธรรมชาติ
อันผันแปรของสรรพสิ่ง
คิดดูสิ แล้วคุณจะปฏิบัติธรรม

ผ้าไหม ที่สวยหรู
ไม่นานก็ถูกตัดด้วยมีด
นี้แลแสดงให้เห็นถึง
ความเป็นมายาของภาวะทั้งปวง
นี้แลพิสูจน์ว่าเป็นธรรมชาติ
อันผันแปรของสรรพสิ่ง
คิดดูสิ แล้วคุณจะปฏิบัติธรรม

เพชรมณีมีค่ายิ่ง ที่คุณทะนุถนอม
ไม่นานก็เป็นของคนอื่น
นี้แลแสดงให้เห็นถึง
ความเป็นมายาของภาวะทั้งปวง
นี้แลพิสูจน์ว่าเป็นธรรมชาติ
อันผันแปรของสรรพสิ่ง
คิดดูสิ แล้วคุณจะปฏิบัติธรรม

แสงจันทร์ที่มัว ๆ และเลือนลาง
ไม่นานก็หดหายหมดสิ้นไป
นี้แลแสดงให้เห็นถึง
ความเป็นมายาของภาวะทั้งปวง
นี้แลพิสูจน์ว่าเป็นธรรมชาติ
อันผันแปรของสรรพสิ่ง
คิดดูสิ แล้วคุณจะปฏิบัติธรรม

ลูกชายที่แสนประเสริฐและมีค่าได้มาบังเกิดแล้ว
ไม่นานก็จากไปและหายสูญ
นี้แลแสดงให้เห็นถึง
ความเป็นมายาของภาวะทั้งปวง
นี้แลพิสูจน์ว่าเป็นธรรมชาติ
อันผันแปรของสรรพสิ่ง
คิดดูสิ แล้วคุณจะปฏิบัติธรรม
นี้แลเป็นคำเปรียบแปดประการ

" อาตมาหวังว่าคุณทั้งหลายจะจำมันไว้และประพฤติตาม
กิจการและภารธุระ จะลากกระชากคุณไปตลอดเวลา
ดังนั้น จงวางมันลงเสีย และประพฤติธรรม ณ บัดนี้
ถ้าคุณคิดว่า
พรุ่งนี้คือเวลาที่เหมาะสมแก่การปฏิบัติธรรม
คุณจะพบในทันใดว่า ชีวิตได้หลุดลอยไปเสียแล้ว
ใครจะบอกได้ว่า เมื่อใดความตายจะมาถึง
จงคิดเรื่องนี้เรื่อย ๆ
และอุทิศตนต่อการปฏิบัติธรรม "


ขอเชิญผู้สนใจรับฟังธรรมะทางวิทยุ
ในรายการ แสงธรรมนำชีวิต ของ .....
มูลนิธิกลุ่มศรัทธาธรรม ออกอากาศทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์
เวลา ๐๕ . ๓๐ - ๐๖ . ๐๐ น . ทางสถานีวิทยุทหารอากาศเชียงใหม่
เอ . เอ็ม ๑๓๒๓
“ ฟังธรรมจิตแจ่มใส ได้ปัญญา ”

Top