โดย............
พรพรรณ สุจริตวณิช

 

            คำว่า “ แม่ ” คำนี้ มีความหมายยิ่งสำหรับลูกทุก ๆ คน ผู้เป็นลูกส่วนใหญ่มักจะเคารพเทอดทูนผู้เป็นแม่ของตน อยู่แล้ว เพราะแม่เป็นแทบทุกสิ่งทุกอย่างของลูก แม่เป็นครู คนแรกของลูก แม่เป็นเสมือน ธนาคาร ที่ลูกแทบทุกคนเบิกได้ตลอดไม่มีวันหยุด แม่เป็น เพื่อนที่วิเศษ เหนือเพื่อนทั่วไป แม่ยังเป็น ที่ปรึกษาชั้นเยี่ยม เป็นที่วางใจ และ ไม่มีพิษมีภัยแก่ลูก เพราะถ้ามีสิ่งใดที่จะมาเป็นพิษเป็นภัยแก่ลูก ผู้เป็นแม่ก็จะ พยายามช่วยขจัดปัดเป่า เท่าที่จะมีความสามารถ ความพยายามทำได้ พระคุณ ของแม่จึงยิ่งใหญ่ไพศาลนัก ขนาดมีผู้เขียนเปรียบเปรยว่า ถ้าเอาโลกมาทำปากกา แล้วเอานภามาแทนกระดาษ เอานํ้าจากมหาสมุทรมาเป็นหมึก ก็ไม่สามารถเขียน บรรยายพระคุณของท่านหมดได้

             แต่กระนั้นก็ยังมีข่าวความอกตัญญูของลูก ที่ทำให้ผู้เป็นแม่เจ็บชํ้านํ้าใจ หรือเป็นทุกข์ ออกมาให้ได้ยินหรือพบเห็น เป็นที่สลดสังเวชใจของผู้ที่ได้พบเห็น หรือได้ยินข่าวเสมอ ๆ ดังเช่นเรื่องที่ข้าพเจ้าจะได้เล่าให้ท่านฟัง เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่ขอ เขียนเป็นอุทาหรณ์เตือนใจผู้เป็นลูกทุก ๆ ท่านว่า กรรมที่ทำกับผู้เป็นแม่เป็นกรรมหนัก ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว ถ้าทำกับแม่จะเป็นกรรมหนัก ซึ่งจะต้องได้รับ ผลกรรมในเร็ววัน ภายในชาตินี้เสมอ

            นาง “ หลิน ” ( ชื่อสมมุติ ) เป็นหญิงชราวัย ๖๐ เศษ ชาวจีนแผ่นดิน ใหญ่ นางมีลูกสามคน ชายสอง หญิงหนึ่ง ส่วนสามีตายไปนานแล้ว นางอยู่เมืองจีน กับลูกชายทั้งสองคน ซึ่งมีครอบครัวแล้วทั้งสองคู่ ส่วนลูกสาวคนเล็กได้เดินทาง มาทำงานที่เมืองไทย แล้วก็หายสาบสูญไม่ส่งข่าวคราวให้นางทราบเลย ทำให้นาง เป็นทุกข์ด้วยความวิตกกังวล และห่วงใยลูกสาวคนเดียวของนางมาก นางพยายาม สืบถามจากคนรู้จักจนทราบว่า บุตรสาวได้แต่งงานแล้วกับชายไทยผู้หนึ่ง และตั้ง รกรากอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่

            นางพยายามเก็บหอมรอมริบเงินเพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายเดินทางมา เยี่ยมเยือนบุตรสาวอยู่เป็นเวลานาน จนมีเงินเพียงพอ นางจึงเดินทางจากเมืองจีน มายังหมู่บ้านแห่งนั้น เมื่อมาถึงที่ตัวอำเภอฝาง นางได้ขอให้คนช่วยต่อโทรศัพท์ให้ เพราะสืบทราบว่าบ้านข้าง ๆ บ้านบุตรสาวมีโทรศัพท์ ครั้งแรกโทรศัพท์ไปไม่เจอ บุตรสาว ฝากบอกให้บุตรสาวโทรกลับมา พักใหญ่ผู้เป็นบุตรสาวจึงโทรศัพท์กลับมา เมื่อทราบว่าแม่ผู้ชราเดินทางมาหาตน ขอให้ไปรับที่อำเภอฝาง ก็บ่นออกมาว่า “ แม่มาทำไมทำให้ยุ่งยากเปล่า ๆ ” ผู้เป็นแม่ถึงกับอึ้งไป เกิดความรู้สึกน้อยใจ จนอยากจะกลับไปเมืองจีน แต่เพราะหนทางมันไกลมาก จึงพูดกับลูกว่า “ ทำไมพูด อย่างนั้นล่ะลูก แม่อุตส่าห์มาหา ” ผู้เป็นบุตรสาวจำใจต้องมารับแม่ ตอนแรกก็ยังไม่ถึง กับแสดงความรังเกียจเดียดฉันท์มากนัก เพราะผู้เป็นแม่มีเงินเหลือติดตัวอยู่มาก พอสมควร และได้ใช้เงินนั้นช่วยค่าใช้จ่ายในบ้านบุตรสาวจนเงินหมดลง

            ตั้งแต่นางหลินเข้ามาอยู่ในบ้านบุตรสาว ก็ได้ช่วยเลี้ยงหลาน และทำงาน บ้านอื่น ๆ วันหนึ่งขณะที่นางหลินกำลังทำความสะอาดบ้านอยู่นั้น มือได้เกี่ยวไปถูก โทรทัศน์เครื่องเล็กของบุตรสาวตกมาแตก ผู้เป็นบุตรสาวโมโหมากได้บริภาษด่าว่า ผู้เป็นมารดาอย่างมากมาย จนสุดท้ายกล่าวว่า “ มึงต้องหามาใช้กูนะ มีปัญญา หรือเปล่า ?” ทำให้นางหลินรู้สึกเสียใจและน้อยใจมาก เลยคิดจะออกไปจาก บ้านบุตรสาว

            พอดีขณะนั้น บ้านข้าง ๆ มีหญิงแม่ลูกอ่อนซึ่งพึ่งคลอดได้ไม่นาน อยากได้คนมาเลี้ยงลูกและช่วยดูแลตนซึ่งกำลังอยู่ไฟ นางหลินจึงได้สมัครมาอยู่ด้วย นายจ้างได้ตกลงให้เงินเดือนนางเดือนละ ๑ , ๕๐๐ บาท นางหลินตั้งใจจะเก็บ เงินเดือนนี้ไว้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางกลับเมืองจีน

            แต่อนิจจา ! นางหลินซึ่งอยู่ในวัยชราสุขภาพไม่ค่อยดีนัก ต้องมา ดูแลเลี้ยงเด็กทารกและนายจ้าง ทำให้ไม่ค่อยได้พักผ่อน โดยเฉพาะเวลากลางคืน ซึ่งต้องคอยลุกมาดูเด็กทารกเวลาเด็กร้องหิวนม หรือถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ทำให้นางหลินรู้สึกอ่อนเพลีย และไม่สบาย นางทนทำงานได้ราว ๒ อาทิตย์ ก็ทน ไม่ไหวเลยลาออกจากงาน

            นางหลินไม่รู้จะไปไหน เลยกลับมาขออยู่กับบุตรสาวอีก ขนาดลงทุน ยกมือไหว้ลูกตัวเองเพื่อขออาศัยอยู่ด้วย ผู้เป็นบุตรสาวก็ค่อนขอดมารดาต่าง ๆ นานา เช่นว่า “ เป็นไงละ ไปไม่รอดต้องซมซานกลับมา จะไปก็ไปให้ตลอดรอดฝั่งซี่ ” นางหลินต้องอดทนอยู่อย่างขมขื่น ผู้เป็นเขยซึ่งค่อนข้างอัธยาศัยดีกว่าบุตรสาว รู้สึกสงสารเห็นใจแม่ยายของตน จึงได้พูดปลอบใจว่า “ แม่อย่าไปฟังมัน เวลามันพูด อะไรก็ไม่ต้องไปใส่ใจ ให้ทำเหมือนไม่ได้ยิน มันสติไม่ดี ” บุตรเขยก็ไม่รู้จะช่วย แม่ยายของตนอย่างไร นอกจากพูดปลอบใจเท่านั้น เพราะเขาเองก็กลัวภรรยายิ่งนัก

            วันหนึ่งผู้เป็นบุตรสาว ได้บริภาษด่าว่ามารดา เช่นทุกครั้งที่มีอารมณ์ หงุดหงิด ครั้งนี้ผู้เป็นมารดาได้ตอบโต้ว่า “ ลูก ลูกก็มีลูกสาว ลูกทำกับแม่อย่างนี้ อีกหน่อยลูกสาวของลูก ก็จะทำกับลูกอย่างนี้เหมือนกัน ” ทำให้ผู้เป็นบุตรสาวโกรธ มาก ไล่มารดาออกจากบ้าน นางหลินได้กล่าวกับบุตรสาวว่า “ ลูกจะให้แม่ไปไหนละ นี่ก็คํ่าแล้ว ฝนก็จะตก ” ผู้เป็นบุตรสาวกล่าวว่า “ มึงจะไปไหนก็เรื่องของมึง แล้วหมวกที่ใส่นะของกู เอาคืนมาด้วย ”

         
นางหลินจำใจเดินออกจากบ้านบุตรสาว เดินร้องไห้ไปยังบ้าน ใกล้ ๆ กันหลังหนึ่งซึ่งนางรู้สึกถูกอัธยาศัยกับภรรยาเจ้าของบ้าน นางได้เล่าเรื่องที่โดน บุตรสาวไล่ออกจากบ้านให้ภรรยาเจ้าของบ้านฟัง ขณะกำลังเล่าเรื่องอยู่นั้น “ อาผิง ” บุตรสาวของเจ้าของบ้าน ( ซึ่งเป็นผู้เล่าเรื่องนี้ให้ผู้เขียนฟัง ) ได้กลับจากไปช่วยงาน แต่งงานของเพื่อนบ้านข้างเคียงผู้หนึ่ง ได้ซื้อแอปเปิ้ลมาฝากมารดา ๑ ถุง ด้วยรู้ว่า มารดาของตนชอบรับประทานแอปเปิ้ลมาก พอน้อง ๆ อาผิงเห็นแอปเปิ้ลก็แย่ง เอาไปรับประทานหมด อาผิงโมโหเลยบ่นน้อง ๆ ว่า “ พี่ซื้อมาให้แม่นะ ให้แบ่ง ไว้ให้แม่บ้าง ” แม่อาผิงกลับบอกอาผิงว่า “ ไม่เป็นไร ให้น้องกินเถอะ ”

          
นางหลินได้เห็นเหตุการณ์นั้นก็นํ้าตาไหลเอื้อมมือมาลูบหัวอาผิง แล้วพูดว่า “ หนูเป็นคนดี ถ้าป้าได้ลูกอย่างหนู ป้าคงจะมีความสุขมาก แต่ป้าคง ทำกรรมไม่ดีไว้มาก ป้าจึงต้องประสบกับสภาพแบบนี้ ” แล้วหันไปพูดกับแม่อาผิงว่า “ เธอโชคดีมากนะ ที่มีลูกที่ดีอย่างนี้ ”

          
หลังจากนั้น แม่อาผิงได้ใช้ให้อาผิงทำกับข้าวให้นางหลินรับประทาน เพราะเพิ่งทราบว่านางหลินยังไม่ได้รับประทานอาหารอะไรมาเลย คืนนั้นหลังจาก ได้พักที่บ้านอาผิงแล้วนางหลินก็พยายามหางานทำ จนได้ทำงานบ้านของเพื่อนบ้าน อีกหลังหนึ่ง นายจ้างให้เงินเดือนเดือนละ ๑ , ๕๐๐ บาท เช่นกัน บ้านหลังนี้มีลูกหลายคน เขาจ้างให้นางหลินทำงานบ้านทุกอย่าง ตั้งแต่ทำกับข้าว ซักผ้า ถูบ้าน ทำทุกอย่าง ซึ่งนับว่าเป็นงานที่หนักมากสำหรับหญิงชราวัยอย่างนางหลินนี้ เพราะผ้าที่ต้องซักมี มากเหลือเกิน เสื้อผ้าของทุกคนในบ้านต้องซักทุกอย่างแม้แต่ชุดชั้นในของเด็ก ๆ ลูกเจ้าของบ้าน นางพยายามอดทนทำงานได้ราวเดือนเศษ ๆ ก็ล้มป่วย เพื่อนบ้าน ที่เห็นสภาพนางหลินต่างสงสารและเห็นใจ เลยร่วมกันบริจาคเงินมากบ้างน้อยบ้าง ตามกำลังทรัพย์ของแต่ละคน เพื่อสมทบให้เป็นค่าใช้จ่ายในการส่งนางหลินกลับ เมืองจีน เพื่อให้ไปอยู่กับลูกชายต่อไป

             ก่อนนางหลินจะกลับไปเมืองจีน เพื่อนบ้านข้างเคียงบางคนทนไม่ไหว ได้ไปต่อว่าบุตรสาวนางหลินว่า “ ทำไมใจร้าย ปล่อยให้แม่ลำบากอย่างนี้ ” ก็โดน บุตรสาวนางหลินด่าว่าและไล่ออกจากบ้านไป

            แม้แต่พี่สาวอาผิง ซึ่งเป็นเพื่อนกับบุตรสาวนางหลิน ก็ได้กล่าวเตือน เพื่อนของตนว่า “ ทำไมใจร้ายกับแม่ ไม่รักแม่ ถ้าเป็นเรานะ ถ้าแม่อุตส่าห์ เดินทางมาตั้งไกล มาหาเรา เราจะดีใจมาก จะต้อนรับแม่เป็นอย่างดี ไม่ให้แม่ทำ อะไรเลย ” บุตรสาวนางหลินได้ตอบว่า “ แม่เธอดีนี่ แม่เราไม่ดีทำโน่นทำนี่เสียหาย อย่างโทรทัศน์เครื่องเล็กของเราก็ทำตกแตก ” พี่สาวอาผิงจึงพูดว่า “ แค่โทรทัศน์เท่านั้น ท่านก็ไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย โทรทัศน์จะมาสำคัญกว่าแม่ได้อย่างไร วัตถุตกแตกก็ซื้อ ใหม่ได้ แต่แม่เรามีคนเดียว เธอทำไม่ถูกนะ ”

         
คนพาลกับคนดีแตกต่างกันทั้งความคิด การพูด และการกระทำ ด้วยประการฉะนี้ จึงมีผลคือวิบากแตกต่างกันไป ด้วยอำนาจของกรรมคือการ กระทำของตนเอง ผู้มุ่งหวังความเจริญแก่ชีวิตจึงควรมีความกตัญญูกตเวที ต่อผู้มีพระคุณของตน โดยเฉพาะบิดามารดา ซึ่งเป็นเสมือนพระในบ้านของลูกทุกคน วันนี้ท่านได้บูชาพ่อแม่ พระในบ้านของท่านหรือยัง ?

 
แม่ แม่ แม่ คำนี้ มีความหมาย
มีพระคุณ มากมาย หลายสถาน
แม่เป็นได้ หลายสิ่ง หลายประการ
เป็นธนาคาร เป็นพรหม เป็นร่มไทร
เป็นผู้ให้ กำเนิด เกิดลูกรัก
เป็นผู้ให้ ที่พัก พิงอาศัย
เป็นผู้ให้ ความการุณ อุ่นกายใจ
เป็นผู้ให้ อะไร อะไร ไม่รามือ
ลูกเจ็บไข้ แม่ก็ให้ การรักษา
ลูกโตมา แม่ก็ส่ง เรียนหนังสือ
ลูกต้องการ ตำรา แม่หาซื้อ
ลูกปรึกษา หารือ แม่ยินดี
ลูกคนใด กระทำ กรรมแก่แม่
ลูกเลวแท้ ชั่วช้า สิ้นราศี
ลูกด่าแม่ ตีแม่ ลูกกาลี
ลูกไม่ดี ทำแม่ชํ้า นํ้าตาริน
โอ้แม่จ๋า พระคุณแม่ แผ่ปกเกล้า
โอ้แม่จ๋า ผู้เฝ้า เข้าเกื้อหนุน
โอ้แม่จ๋า ผู้เมตตา ผู้การุณ
โอ้แม่จ๋า ผู้คํ้าจุน ไม่ห่างไกล
ดวงใจแม่ สะอาดแท้ กว่าทุกสิ่ง
ดวงใจแม่ สะอาดยิ่ง กว่าสิ่งไหน
ดวงใจแม่ สะอาดเกิน กว่าสิ่งใด
ดวงใจแม่ มีไว้ เพื่อลูกเอย

( ทยาลุ )

 
Top