ตอบปัญหาธรรมะ

 
โดย............
พระครูปลัดประจาก สิริวณฺโณ
 

 ๑ ) กำหนดต้นจิต

            การกำหนดต้นจิต หมายความว่าเราจะได้รู้ถึงธรรมที่เป็นเหตุ คือตัว นามธรรมที่เป็นเหตุ
อันที่จริงจังหวะเดิมของการเดินมีอยู่ ๔ แต่อาศัยใจที่เป็น ตัวนำ อีก ๔ รวมเป็น ๘ แต่อาการเดินจริง ๆ
เป็นรูปธรรมมีอยู่ ๔ แต่ตัวที่ใช้ให้ เดินเป็นนามธรรมอีก ๔ คือ คิดยกส้น คิดยก คิดย่าง คิดเหยียบ ตัวนี้เป็นตัวเหต
ุ ถ้ารูปไม่มีนามสั่งแล้วจะเกิดไม่ได้ ร่างกายถ้าใจไม่สั่งแล้วก็เป็นไปไม่ได้ หมายความถึงนามธรรมที่เป็นเหตุ
ถ้าเรากำหนดนามธรรมที่เป็นเหตุแล้วนี้ เราก็สามารถได้ประโยชน์ใหญ่ ๆ ที่อาจารย์เคยบอกวันก่อน คือ
ทำให้อากัปกิริยา ของเราช้าลงและเป็นปัจจัยให้กำหนดอิริยาบถย่อยได้ดีขึ้น แล้วเป็นปัจจัยให้ญาณที่ ๒ คือ
ปัจจยปริคคหญาณ เกิดได้ง่ายอีกด้วย

                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                              
 


 

๒ ) การทำบุญให้คนตาย

            บุคคลที่จะได้รับส่วนแห่งบุญ เวลาตายไปแล้ว มีอยู่ประเภทเดียว เท่านั้นที่จะรับส่วนบุญได้ คือ
พวกปรทัตตูปะชีวิกะเปรต เปรตที่อาศัยอยู่ ตามบ้านตามช่อง ถึงจะรับได้ แต่เปรตนอกนั้นรับส่วนบุญไม่ได้
พวกที่ไปเกิด เป็นสัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก อสุรกาย รับส่วนบุญไม่ได้ ต้องเป็นเปรต และเปรต ก็จำกัดว่าเป็นปรทัต
ตูปะชีวิกะเปรตถึงจะรับได้ การที่เขารับได้ต้องอนุโมทนา ถ้าเขาไปอยู่ที่ไกล ไม่รู้ว่าญาติเขาทำอะไรให้ไม่ได้
อนุโมทนาก็ไม่ได้ จะต้อง อนุโมทนาสาธุการในกุศลนั้นถึงจะได้ ถ้าเราไปเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาก็หมด โอกาส
ที่จะให้ผลเป็นบุญกุศล ให้สำเร็จเป็นวิมาน เป็นข้าวของเงินทอง ที่ต้อง ได้แก่เปรตจำพวกเดียวเท่านั้นที่นี้เราทราบ
ไม่ได้ว่าคนที่ตายเขาไปเป็นอะไร เราก็จะเลยเดาสุ่มทำบุญไปให้ ในคัมภีร์มูลฎีกา ท่านบอกว่าในประเทศศรีลังกา
มีพระรูปหนึ่ง ท่านออกบิณฑบาตร ไปเจอลูกของเปรตร้องไห้กระจองอแง เขาเนรมิตตัวหยาบ ให้ท่านเห็นท่านถาม
ว่า “ พวกเธอเป็นอะไร ” บอก “ เป็นเปรต ” ถ้าเราเจออย่างนี้คงวิ่งแจ่น แต่พระท่านไม่กลัวกลับถามว่า “ ทำไม
ร้องไห้กันละ ” บอกว่า “ หิวข้าว แม่ไปหาอาหารยังไม่เห็นมาเลย ท่านไปบิณฑบาตรในบ้าน ท่านช่วยบอกแม่ด้วย
ฉันกำลังหิวข้าวอยู่ ” “ แล้วฉันจะเห็นได้อย่างไร ” เขาก็เลย เอารากไม่ชนิดหนึ่ง พอยื่นให้ พระท่านจับไปเท่านั้น
โอ้ !.. เห็นหมดเลย ท่านไม่ บอกว่ารากไม้อะไร ไม่มีชื่อ พระท่านเดินไปในบ้านเห็นหมดเลย นั่งคุยกันบ้างขึ้นบ้าน
โน้นลงบ้านนี้ ไปหากินกัน เปรตบางตนเห็นสุนัข ก็ยุให้สุนัขไล่กัดคน เปรตทำอะไรหลายอย่างแปลกเหมือนคน
เนื้อที่ขูดหน้าเขียงทิ้งไป พวกนั้นมา เอาไปกินหมด มันดูดกินกันหมด พระท่านเดิน ๆ ไป จำลักษณะของแม่ของ
เด็กคนนี้ว่ามีลักษณะไหน ท่านก็ไปเห็นเปรตผู้หญิงคนนี้กำลังไล่เก็บของ ท่านบอกว่า “ ลูกของเธอร้องไห้ บอกให้
ฉันบอกเธอให้กลับไปไว ๆ เขากำลังหิวกันอยู่ “ นางเปรตถามว่า “ ท่านเห็นฉันได้อย่างไร ” “ เด็กมันเอารากไม้
นี้ให้มา ” ท่านก็ยื่นให้ดู เปรตตนนี้ก็ดึงแย่งเอาไป วูบ ดับหมดเลย มองไม่เห็น แต่ท่านไม่บอกว่ารากไม้ นี้เป็น
อย่างไร

             ฉะนั้นถ้าทำบุญและอุทิศไปให้แล้ว เขาได้อนุโมทนา และอยู่ใน ประเภทที่เขาสามารถรับได้ เขาก็รับ
ได้ อยู่ในประเภทที่เขารับไม่ได้ เขาก็รับไม่ได้ ในคัมภีร์ทางศาสนาก็มีบอกไว้ เราดูเปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสาร
ในวัดเวฬุวัน ก็ยังเห็นมาอนุโมทนาได้เลย เพราะเปรตเข้านอกออกในไปที่ไหนก็ไปได้ เขาจะ อยู่นอกวัดหรือในวัด
เขาก็อนุโมทนาได้ คัมภีร์ศาสนาไม่มีห้ามบอกว่า คนตายโหง ต้องไปทำบุญนอกวัด ยังไม่เจอ เขาว่าก็ฟังไว้ก่อน
( เอา ๕ หารด้วย ) ถือกันมา เท่านั้นเอง อาจจะมีบอกว่า พวกเทพที่รักษาอยู่ไม่ต้องการให้เข้ามา ถ้าไม่ให้ เข้ามา
เขาก็เข้ามาไม่ได้ เขามีเขตแดนของเขา เทวดามีเขตแดน ตรงนี้มี หัวหน้าปกครองดูแล เหมือนกับเรา ตั้งคณะกรรมการปกครองภายในตำบลนี้ กำนันคนนี้มีอำนาจ ภายในหมู่บ้านนี้มีผู้ใหญ่บ้านมีอำนาจ เขาก็จะเป็นที่ๆ
ของเขาไป สถานที่ไหน ๆ เราไปอ่านดูในมหาสมยสูตร พระพุทธเจ้าบอกว่า เทวดาเขตแดนนี้ใครเป็นหัวหน้า
เป็นลำดับ ในที่นี้เราก็เหมือนกัน เราไม่รู้ แต่เราทำตามหน้าที่ เราก็เดาสุ่ม ถึงแม้เขาจะไม่ได้รับ แต่บุญก็ไม่ได้
หายไปไหน ก็ยังเป็นของเราอยู่นั่นเอง ถ้าเขามาอนุโมทนาก็สำเร็จประโยชน์กับเขา ก็ได้บุญ ไปอีก ถ้าเขาไม่ได้
อนุโมทนา บุญก็ไม่ได้สูญหายไปไหน ถ้าเขาอยู่ในสถานที่ รับไม่ได้ เหมือนคนติดคุก เราจะทำบุญอยู่ที่บ้าน
เขาก็ออกมาไม่ได้ จะขอให้เขาอนุโมทนายังไง เขาก็ทำไม่ได้ อย่างคนที่ไปตกนรกก็หมดโอกาส เป็นสัตว์เดรัจฉาน
เป็นเทวดา เป็นมนุษย์ก็หมดโอกาส

 

๓ ) การกรวดน้ำ แผ่เมตตา

            เราดูพระโพธิสัตว์ตอนใกล้ตรัสรู้ ที่พญามารมาแย่งแท่นแก้วที่ท่านนั่ง จะตรัสรู้ พญามารบอกว่า “ แท่น
นี้เป็นของเรา พยานเรามี “ คือพวกเสนาของ พญามาร ท่านไม่มีพยาน เทวดาหนีไปหมดแล้ว ” พระโพธิสัตว์ท่าน
เลยเอา แม่ธรณีเป็นพยาน ท่านชี้ลงพื้นแผ่นดิน บอกว่า “ พยานอื่นไม่มี แต่ตอนที่ เราสร้างบุญบารมีเราเคย
กรวดน้ำไว้บนแผ่นดินก็เอาแม่ธรณีเป็นพยาน ” แผ่นดิน ก็เกิดอาการหวั่นไหว เสียงดังครืนใหญ่ พวกมารตกใจเหาะ
ไปคนละทิศคนละทาง ตามหลักฐานเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่แม่ธรณีออกมาบีบมวยผม หรือจระเข้ไปกัด มารจะจมน้ำ
ได้อย่างไร พวกมารอยู่เทวภูมิชั้นที่ ๖ เทวดาจมน้ำตายมีไหม เป็นไปไม่ได้ ตามนัยอรรถกถาก็ไม่มี ในอรรถกถา
ชาดกที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้นี้ มีแต่ว่าแผ่นดินเกิดการหวั่นไหวทำเสียงดังขึ้น พวกมารตกใจหนีไปคนละทิศคน
ละทาง แต่ที่ว่าแม่ธรณีบีบมวยผมให้น้ำท่วม แล้วมารถูกจระเข้กัดกิน ไม่มี เป็นจินตนาการเฉย ๆ ตามหลักของ
ศาสนาไม่มี ให้เข้าใจ และเราก็กรวดน้ำได้ ทั้ง ๒ แบบ อานิสงส์ของเราแผ่ไปให้เขาอนุโมทนา ก็เป็นประโยชน์
ได้ทั้งสองแบบ

            ความตั้งใจของเรา เราก็น้อมนึกถึงบุญกุศล เราจะให้อะไรใคร ขึ้นอยู่ ที่ตัวเรา เหมือนว่าเราจะให้
สตางค์ใคร ตัวเราต้องมีกื่น ไม่ใชล่วงไปแล้วไม่มี จะให้เขาไม่ได้ ฉะนั้นบุญที่เราจะให้เขา เราต้องบอกว่า ข้าพเจ้า
ได้รักษาศีลมา บุญที่เกิดจากการรักษาศีลก็ดี ให้ทานก็ดี เจริญภาวนาก็ดี ทำไวยาวัจจะกุศลก็ดี ทำปัตตานุโมทนา
,มัยก็ดี ทำอะไรก็ดี ความดีที่เราทำมา ขออุทิศให้แก่ท่าน ขอท่านจงอนุโมทนา ถ้าเขาสาธุบุญนั้นก็ปรากฏกับเขา
แล้ว ถ้าเขาไม่สาธุ มัน ก็เป็นของเรา อย่างเรามาปฏิบัติกลับไปนี้เราก็แบ่งบุญ เขาเรียกว่า ให้อนุโมทนาบุญ
ปัตตานุโมทนามัย เรียกว่า บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนา ปัตติทานนามัย บุญสำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ เราก็ให้เขา
ให้เขาอนุโมทนา เช่น เราไปทำบุญ กลับมาบอกพ่อแม่ “ หนูไปทำบุญมา ได้เจริญกรรมฐาน ขอให้แม่และพ่อ
อนุโมทนาด้วย ” ถ้าท่าน “ สาธุ ๆ ๆ ” ท่านก็มีส่วนแห่งกุศลที่เราได้ แต่เราบอก ให้แล้ว ท่านไม่สาธุ ท่านก็ไม่ได้
เพราะว่าท่านไม่ได้จุดประกายบุญให้เกิด ขึ้นกับท่านเอง เหมือนเราจุดเทียนแล้วยื่นให้ต่อ เขาไม่ต่อแล้วแสงสว่าง
มัน จะเกิดตรงไหน แสงสว่างที่เขาไม่ได้เกิด เกิดที่เรามันก็ไม่ได้เสียอะไร มันก็อยู่ ตรงนั้นเอง บุญที่เราจะให้เขา
ถ้าเราไม่มีน้ำก็ไม่ต้องกรวด ถ้ามีน้ำก็กรวดเพื่อ ให้แผ่นดินเป็นพยานแก่เรา ให้แม่ธรณีเป็นพยานให้เราอีกทีหนึ่ง


๔ ) พระโสดาบัน

            พระโสดาบันมีศีลห้าบริสุทธิ์ ศีลห้ากับพระโสดาบันนั้น ท่านเอาชีวิตเป็น ประกันเลย ใครบอกว่าให้ฆ่า
สัตว์ ถ้าไม่ทำจะตัดหัว พระโสดาบันยอมให้ตัดหัว แต่ไม่ยอมฆ่าสัตว์ หมายความว่า ศีล ๕ ทุกข์ของท่านบริสุทธิ์จริง
ๆ ท่านเอาชีวิต เป็นประกัน ไม่มีการก้าวล่วงในศีลห้านั้น และมีความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าเป็น อจลศรัทธา
ไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ไม่หวั่นไหว ถ้ามีคนมา บอกให้พูดว่าพระพุทธเจ้าไม่มีจะยกสมบัติ ความเป็นพระเจ้าแผ่นดินให้ ก็ไม่มีทาง จะตัดคอรึ ท่านก็ยอม แต่จะให้พูดว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ไม่มี ท่านจะไม่พูดเลย ความเลื่อมใสของท่านไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน แต่ถ้าเป็นเรา พระพุทธเจ้าไม่มี พูดหน่อย แล้วจะให้ล้านหนึ่ง สงสัยเอาไว้ก่อน เสร็จแล้วค่อย มารับไตรสรณคมน์ เอาทีหลัง ค่อยมาอธิษฐานใหม่ พุทธัง สรณัง คัจฉามิใหม่ เพราะของเราไม่แน่นอน แต่ของท่านจะไม่เห็นแก่ลาภสักการะไม่เห็นแก่ชีวิตใครจะบอกว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ไม่มี หรือให้ ล่วงละเมิดในศีลห้าไม่มีเด็ดขาดจะเอาอะไรมาจ้างหรือจะฆ่าจะฟัน อย่างไร ยอมให้ทำ ความเป็น อยู่อย่างอื่น ก็เป็นไปอย่างธรรมดาแบบเรานี่แหละ เพราะ อะไร เพราะท่านยังต้อง หมกมุ่นมีครอบครัว เพราะท่านยังละกามราคะยัง ไม่ได้เด็ดขาด คนที่จะ ทำลายกามราคะได้ ต้องเป็นพระอนาคามี อย่างโสดาบัน สกิทาคายังละไม่ได้ ต้องเป็นอนาคามีขึ้นไป ถ้าเป็นพระอนาคามีแล้ว มีภรรยา ก็กลายเป็นนางสาว ไปเลย ไม้มีข้องแวะ จะไปแต่งงานใหม่ ให้ไปเลย ยกให้ได้ จะกลับไป สู่ตระกูลของตัวเองอย่างเดิม ให้ไปได้แต่ถ้า ยังอยู่บ้านก็ไม่เป็นสามี ไม่เป็น ภรรยาแล้ว คือการข้องแวะของท่านไม่มีแล้ว


๕ ) ศีลขาด

            องค์แห่งการขาดของศีล ๕ อาทิ ปาณาติบาต องค์เขามีอยู่ ๕ องค์ คือ ปาโณ สัตว์มีชีวิต ปาณสัญญิตา ตนรู้ว่าสัตว์มีชีวิต วะธะกะจิตตัง มีจิตคิดจะฆ่า อุปักกโม ทำความ เพียรพยายามเพื่อจะฆ่า เตนะ มรณัง สัตว์นั้นตาย ด้วยความเพียรนั้น ศีลข้อ ๑ ของเราก็จะขาด แต่ถ้าไม่ครบองค์ ๕ แล้ว ไม่ขาด เพียงแต่

             เศร้าหมองไปหน่อย เช่น เขาไม่ได้คิดว่าจะทำลายเรา อย่างขากเสลดมา เรามัน เดินผ่านมาพอดีเลย ได้จังหวะพอดี เขาไม่ได้ตั้งใจ เรียกว่า ทำบาปโดยไม่มีเจตนา มันเศร้าหมอง แต่ว่าองค์ศีลไม่ขาดเป็นต้น

Top