|
|
|
|
|
|
|
รุ่งเรือง บุญโญรส....แปล
| |
|
การฆ่าและทำลาย
ครั้งหนึ่งท่านมิลาเรปะพาท่านเรจุงปะไปตลาดนยาโนนเพื่อให้เกิดปฏิปทาเพื่อเนกขัมมบารมีมากยิ่งขึ้น ณ ตลาดนั้นมีคนหลายคนฆ่าสัตว์เอาเนื้อขาย เอาเนื้อมาตั้งเป็นกอง ๆ เนื้อแต่ละกองตั้งสูงเหมือนกำแพง ศีรษะสัตว์ ก็วางซ้อนกันเป็นกองใหญ่ ส่วนหนังของมันกระจัดกระจายอยู่บนพื้นดิน และ เลือดไหลนองเหมือนน้ำในสระ ยิ่งกว่านั้นสัตว์เป็น ๆ ยังถูกตรึงไว้กับหลักพร้อมที่จะ ฆ่าได้ทุกเวลา ท่านมิลาเรปะเห็นภาพเช่นนั้นก็ตื้นตันด้วยความสงสาร จึงร้องออกมาเป็นธรรมคีตา ....
|
|
|
น่าสงสารจริงหนอ สัตว์ทั้งหลายในสังสารวัฏฏ์
เมื่อมองขึ้นสูาวิมุตติมรรค๑
เราจะรู้สึกอย่างอื่นได้อย่างไรนอกจากเศร้าโศก
แทนคนใจบาปกิเลสหนาเหล่านี้
มันแสนโง่ และแสนเศร้าที่หลงมัวเมาอยู่กับการฆ่า
ในเมื่อตนเองได้เกิดมา
มีร่างอย่างมนุษย์ก็ด้วยกรรมดี
|
|
|
มันเศร้าเหลือเกินที่ต้องกระทำการ
ที่เป็นการทำร้ายตัวเองในบั้นปลาย
มันเศร้าเหลือเกินที่มาสร้างกำแพงแบบนี้ด้วยเนื้อ
ที่เกิดจากเนื้อบิดามารดาที่ล่วงลับของตน ๒
มันเศร้าเหลือเกิน
ที่ได้เห็นคนกินเนื้อและมีเลือดไหลนอง
มันเศร้าเหลือเกินที่ได้รู้ว่า ความสับสนและความหลง
มัวเมาครอบงำใจของคนทั้งหลาย
มันเศร้าเหลือเกินที่ได้พบว่า
ในดวงใจของหมู่ชน มีแต่ความชั่วมุ่งร้ายเท่านั้น
หาความเมตตาไม่
มันเศร้าเหลือเกินที่ได้เห็นความบอด
ปิดกั้นชนทั้งปวง
ผู้ซึ่งพอใจทะนุถนอมการกระทำอันเป็นบาป
|
|
|
ตัณหาเป็นเหตุพาให้เกิดความทุกข์ลำเค็ญ
และโลกียกรรมทั้งหลายนำมาซึ่งความเจ็บปวด
ระลึกอย่างนี้ในดวงจิต บุคคลพึงรู้สึกระทมใจ
เมื่อคิดได้ดังนั้น บุคคลพึงเสาะหายาบำบัด
เมื่อข้าคิดถึงคนเหล่านั้น
ผู้ไม่เคยห่วงใยชีวิตในวันหน้า
แต่รื่นเริงในการกระทำชั่ว
ข้ารู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งและเศร้าใจ
และรู้สึกกลัวแทนเขาเหลือเกิน
เรจุงปะเอ๋ย , เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว
เธอไม่รำลึกถึงพระธรรมอันบริสุทธิ์แล้วหรือ
เธอผู้อยู่ในวัฏฏสงสาร
ไม่หมดกำลังใจไปเสียแล้วหรือ
ปลุกความรู้สึกโน้มน้อมสู่การสละออกนั้นเถิด
ไปเถอะ , เรจุงปะ
ไปสู่คูหาและบำเพ็ญฌาน
จงสังวรซึ่งจาคะของครูของเธอ
และหลีกเลี่ยงอกุศลกรรมทั้งปวง
เหวี่ยงโลกียวัตถุทิ้งเสีย และตั้งมั่นอยู่ในการปฏิบัต
จงรักษาปฏิญาณของเธอไว้ให้ดี
จงสละชีวิตของเธอให้แก่การเจริญสมาธิ
|
|
|
เมื่อไร้ธรรมะ |
|
|
เมื่อท่านมิลาเรปะพำนักอยู่ในบ้านหินของ ดริน จื้อซือ กูชุ อุบาสก อื่น ๆ ได้พากันมาเยี่ยมท่านและประสงค์ จะฟังธรรมจากท่าน จื้อซือ พูดว่า " ขอท่านอาจารย์ ได้โปรดให้คำสอนในพระพุทธศาสนาแก่เราด้วยเถิด ขอฟังชนิด ที่ง่ าย ๆ พอที่เราจะเข้าใจได้ ได้โปรดเถิดท่านอาจารย์ "
ท่านมิลาเรปะ ตอบว่า " ดีแล้วจงเงี่ยหูฟัง และฟังธรรมคีตา นี้ด้วยความตั้งใจเถิด "
โยมอุปฐากทั้งหลาย จงฟังคำของอาตมา
ด้วยความสำรวมสักครู่หนึ่งเถิด
บุรุษผู้มีปัญญามาก จำเป็นต้องมีธรรมะ
ไร้ธรรมะเสียแล้ว
บุรุษเหล่านั้นก็เหมือนนกอินทรีย์ทั้งหลาย
แม้เกาะอาศัยอยู่ ณ เบื้องสูง
มันก็มีความหมายเพียงเล็กน้อย
บุรุษผู้มีปัญญาปานกลาง จำเป็นต้องมีธรรมะ
ไร้ธรรมะเสียแล้ว
บุรุษเหล่านั้นเหมือนเสือทั้งหลาย
บุรุษผู้มีปัญญาน้อย จำเป็นต้องมีธรรมะ
ไร้ธรรมะเสียแล้ว
บุรุษเหล่านั้นเหมือนกับลาของพ่อค้าขายเร่
แม้มันบรรทุกของไปได้มาก
ของบรรทุกนั้นก็ได้ผลดีแก่มันเพียงเล็กน้อย
|
|
|
สตรีผู้มีปัญญามาก จำเป็นต้องมีธรรมะ
ไร้ธรรมะเสียแล้ว
สตรีเหล่านั้นก็เหมือนกับภาพบนฝาห้อง
แม้ภาพเหล่านั้นดูสวย
มันก็ไม่เกิดประโยชน์ หรือความหมายใดเลย
|
|
|
สตรีผู้มีปัญญาปานกลาง จำเป็นต้องมีธรรมะ
ไร้ธรรมะเสียแล้ว
สตรีเหล่านั้นก็เหมือนหนูน้อยทั้งหลาย
แม้ฉลาดในการหาอาหาร
ชีวิตของมันก็มีความหมายเพียงเล็กน้อย
สตรีผู้มีปัญญาน้อย จำเป็นต้องมีธรรมะ
ไร้ธรรมะเสียแล้ว
สตรีเหล่านั้นก็เหมือนสุนัขจิ้งจอกตัวเมีย
แม้คล่องแคล่ว และฉลาดด้วยเล่ห์กล
การกระทำของมันมีค่าเพียงเล็กน้อย
|
|
|
บุรุษผู้ชรา จำเป็นต้องมีธรรมะ
ไร้ธรรมะเสียแล้ว
บุรุษผู้ชราเหล่านั้นก็เหมือนกับต้นไม้ที่กำลังผุ
|
|
|
ชายที่กำลังเติบโตเป็นหนุ่ม จำเป็นต้องมีธรรมะ
ไร้ธรรมะเสียแล้ว
ก็เหมือนกับวัวหนุ่มคะนองที่ติดอยู่กับแอก
|
|
|
หญิงสาวทั้งหลายก็เช่นกัน จำเป็นต้องมีธรรมะ
ปราศจากธรรมะเสียแล้ว
ก็เหมือนกับวัวตัวเมียที่ถูกตกแต่งให้สวยหรู
|
|
|
เยาวชนทั้งปวง จำเป็นต้องมีธรรมะ
ปราศจากธรรมะเสียแล้ว
ก็เหมือนกับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน
แต่ถูกเก็บอยู่ภายในเปลือกหอย
|
|
|
เด็ก ๆ ก็จำเป็นต้องมีธรรมะ
ปราศจากธรรมะเสียแล้ว
ก็เหมือนกับขโมยที่ปีศาจเข้าสิงใจ
ปราศจากซึ่งธรรมะ
สิ่งทั้งปวงที่ใคร ๆ กระทำอยู่
ย่อมขาดความหมายและความมุ่งหมาย
นรชนผู้ต้องการมีชีวิตอยู่ด้วยความหมาย
ควรปฏิบัติพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
|
|
|
------------------------------------------
๑ ทางแห่งความหลุดพ้นเป็นอิสระ
๒ คนธิเบตเชื่อว่าสัตว์ทั้งหลายเคยเป็นบิดามารดาของเราในอดีต โดยถือเอาพระพุทธวัจนะบทหนึ่งเป็นหลัก พระวัจนะนั้นคือ ? ตถาคตไม่เห็นการตั้งต้นของสัตว์ทั้งหลาย ที่บอดด้วยอวิชชาและถูกผลักด้วยตัณหา ซึ่งกำลังเร่งรีบไปสู่ชาติ ชรา มรณะ เป็นวัฏฏะ ? ด้วยเหตุผลนี้เขาจึงถือว่า เขามีความเกี่ยวพันกับสัตว์โลกที่มีชีวิตทั้งหลาย เพราะอาจเป็นบิดามารดาของเขามาแล้วในชาติอื่น |
|
|
|
|
|