| home | บอกกล่าว | ทำดีเพื่อความดี | ผู้รู้แห่งธิเบต | เมื่อไปเยือนเมืองตานี | ประวัติหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด |
| พระพุทธศาสนาสำหรับผู้เริ่มศึกษา | คุณสมบัติของนักปฏิบัติธรรม ๔ ประการ | ธรรมะในมิลินทปัญหา | รายนามผู้บริจาค |


แนวทางเจิรญวิปัสสนากรรมฐาน
เรื่อง ...คุณสมบัติของนักปฏิบัติธรรม ๔ ประการ


 

โดย...พระอาจารย์สัทธรรมรังษีสยาดอ ประเทศพม่า

 
 

            วันนี้ อาตมาภาพจะได้บรรยายธรรม เรื่อง คุณสมบัติของนักปฏิบัติธรรม ๔ ประการ บุคคลที่เจริญวิปัสสนากรรมฐานในพระพุทธศาสนาต่างก็ ต้องการประสบความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม บุคคลที่ประสบความก้าวหน้า ในการปฏิบัติธรรมแล้ว ก็ต้องการที่จะบรรลุคุณธรรมพิเศษในพุทธศาสนายิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก ด้วยการประสบความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม ดังนั้นเพื่อให้บรรลุ คุณธรรมพิเศษ ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายของพุทธศาสนิกชนในพุทธศาสนา ผู้ปฏิบัติ ธรรมที่ดีต้องประกอบด้วยองค์คุณ ๔ ประการ

             พระมหากัจจายนะซึ่งเป็นหนึ่งในอสีติมหาสาวก ๘๐ รูป เป็น เอตทัคคะในด้านขยายความย่อให้พิสดาร ได้ แสดงองค์คุณของนักปฏิบัติธรรมไว้ ๔ ประการ คือ

             . จกฺขุมาสฺส ยถา อนฺโต นักปฏิบัติธรรมถึงแม้จะมีดวงตา ก็ตาม ก็ต้องทำตัวให้เหมือนกับคนตาบอด หมายความว่า ถึงแม้นักปฏิบัติจะ เป็นบุคคลที่มีดวงตาสามารถพบเห็นสิ่งต่าง ๆ พบเห็นอารมณ์ ต่าง ๆ ภายนอก ร่างกายได้ก็ตาม แต่ต้องพยายามทำตัวคล้ายกับตนเป็นคนตาบอดไม่รับรู้อารมณ์ ภายนอกแต่อย่างใด

            ท่านสาธุชนทั้งหลาย บุคคลที่มีดวงตาได้พยายามทำตนคล้ายกับ เป็นคนตาบอดอย่างไรกัน คือเนื่องจากว่าบุคคลที่มีดวงตาถ้าทำตนเป็นคนที่มี ดวงตาคือรับรู้อารมณ์ภายนอกต่าง ๆ หมายถึง รับรู้ รูปพรรณสัณฐานของสิ่ง ภายนอก ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นบุรุษเป็นสตรีเป็นต้นไม้หรือเป็นสิ่งของอย่างใด อย่างหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนั้น จิตของนักปฏิบัติก็จะรับรู้ ถึงอารมณ์ภายนอก ขาดสติที่กำหนดรู้ ปัจจุบันอารมณ์ คือสภาวธรรมการเห็น ด้วยเหตุดังกล่าว ขณะนักปฏิบัติขาดสติระลึกรู้เท่าทันสภาวธรรมการเห็นที่กำลังเกิดขึ้น แต่กลับไป จดจ่อรับรู้ถึงอารมณ์ภายนอก สมาธิก็จะไม่เกิดขึ้น เนื่องจากขาดสติที่เป็นเหตุ ให้เกิดสมาธินั่นเอง เมื่อขาดสมาธิที่แน่วแน่ ในอารมณ์กรรมฐาน ก็จะไม่สามารถ เกิดวิปัสสนาญาณที่หยั่งรู้สภาวธรรม ทางกายกับสภาวธรรมทางจิต ตามความ เป็นจริงได้ด้วยเหตุดังกล่าวพระมหากัจจายนะเถระจึงแนะนำให้นักปฏิบัติ พยายามทำตัวให้คล้ายกับเป็นคนตาบอดโดยไม่รับรู้อารมณ์ ภายนอกแต่อย่างใด

            อันที่จริงแล้ว การทำตัวให้เหมือนคนตาบอดนั้น ไม่ใช่หมายถึง การปิดตาของตนเองไม่ดูอารมณ์ภายนอก หรือไม่ใช่นำสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาปิดที่ดวงตา ของตน เพื่อไม่ให้เห็นอารมณ์ภายนอก แต่กลับเป็น การกำหนดรู้ถึงสภาวธรรม การเห็น โดยสักแต่เห็น กำหนดว่า เห็นหนอ เห็นหนอ ไม่สนใจอารมณ์ภายนอก ที่กำลังเห็นอยู่ไม่สนใจว่าสิ่งที่เห็นนั้นคือบุรุษ คือสตรี คือเรา คือเขา คือของเรา หรือคือของเขา เมื่อเป็นเช่นนั้นนักปฏิบัติที่สักแต่รับรู้สภาวธรรมการเห็น ซึ่งเป็น สภาวธรรมทางจิตของตน ไม่รับรู้อารมณ์ ภายนอกที่กำลังประสบอยู่จัดว่าเป็น บุคคลที่ประพฤติตนคล้ายกับเป็นคนตาบอดนั่นเอง

            แท้ที่จริงแล้ว การเจริญวิปัสสนากรรมฐานโดยสักแต่เห็นอารมณ์ที่กำลังประสบอยู่ไม่รับรู้ รูปพรรณสัณฐานของอารมณ์ที่กำลังประสบอยู่นี้ มิใช่เป็น ความเห็นของท่านพระมหากัจจายนะเถระเท่านั้น ถึงแม้ พระพุทธองค์ก็ตรัสสอน ให้พุทธบริษัททั้งหลายได้สักแต่เห็นในอารมณ์ ที่กำลังประสบอยู่ โดยตรัสว่า ทิฏฺเฐ ทิฏฺ ฐมตฺตํ ภวิสฺสติ เมื่อเห็นอยู่จะสักแต่เห็นเท่นั้นโดยไม่รับรู้รูปพรรณ สัณฐานของสิ่งที่เห็นแต่อย่างใด

            การสักแต่เห็นนั้น หมายถึง เป็นการไม่รับรู้อารมณ์ที่กำลังเห็นอยู่ คือโดยปรกติแล้วเวลาเราได้พบเห็นอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จะรับรู้ว่า สิ่งที่เห็นนั้นคือบุรุษ สิ่งที่เห็นนั้นคือสตรี สิ่งที่เห็นนั้นมีสัณฐานเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง ตัวสูงหรือตัวต่ำ ผิวขาว หรือผิวดำ มีรูปร่างสัณฐานที่แตกต่างกันออกไป แต่การ สักแต่เห็นนี้ หมายถึง เป็นการรับรู้สภาวธรรมการเห็นโดยไม่รับรู้ว่าสิ่งที่เห็นนั้นคือ อะไร หมายถึงไม่รับรู้ว่าสิ่งที่กำลังพบอยู่นั้นคือบุรุษ คือสตรี มีสัณฐานสูงหรือต่ำ มีผิวขาวหรือผิวคล้ำ ไม่รับรู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เห็นแต่ เป็นเพียงสัณฐานสั้นยาว ขาวหรือดำเท่านั้น

            การเจริญสติปัฏฐาน โดยสักแต่รับรู้อารมณ์ทางทวารทั้ง ๖ เป็นต้นว่า สักแต่เห็น สักแต่ได้ยิน เป็นต้นนั้น ในเบื้องแรกของการปฏิบัติธรรม จัดว่าเป็นสิ่งที่ ปฏิบัติทำได้ยากยิ่ง เพราะจิตของเรามีความเคยชินอยู่กับการรับรู้อารมณ์ ภายนอก เมื่อเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็จะจดจ่อที่รูปพรรณสัณฐานของสิ่งเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อนักปฏิบัติได้เจริญสติปัฏฐานสักระยะหนึ่งแล้ว สติมีความต่อเนื่อง สมาธิ มีความแน่วแน่อยู่ที่อารมณ์ กรรมฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักปฏิบัติที่มีสมาธิแน่วแน่กับการเดินจงกรม ขณะที่เดินจงกรม ๓ ระยะ กำหนดว่า ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ ขณะที่นักปฏิบัติสามารถจดจ่อรับรู้อาการเคลื่อนไหวของเท้าได้อย่าง ต่อเนื่องและละเอียดนั้น อาจจะมีบุคคลใดบุคคลหนึ่งเดินผ่านมา และนักปฏิบัติ ก็อาจจะพบเห็นบุคคลนั้น และเมื่อกำหนดว่าเห็นหนอ เห็นหนอ สักแต่เห็นแล้ว นักปฏิบัตินั้น จะไม่รับรู้ว่าบุคคลที่เดินผ่านมานั้นคือใคร คือไม่รับรู้ว่าบุคคลผู้นั้นเป็น บุรุษ หรือว่าเป็นสตรี รับรู้ว่าเป็นเพียงบุคคลคนหนึ่งเป็นรูปพรรณสัณฐานอย่างหนึ่ง ซึ่งเดินผ่านมาเท่านั้นเอง แต่ไม่สามารถรับรู้ถึงบุคคลเหล่านั้น ไม่รับรู้เพศ หรือไม่รับรู้ว่าบุคคลเหล่านั้น หรือบุคคลนั้นคือใครอย่างชัดเจน ทั้งนี้เพราะจิต ของนักปฏิบัติท่านนั้น ได้จดจ่ออยู่ที่สภาวธรรมการเห็นโดยสักแต่เห็นเท่านั้น

            เมื่อนักปฏิบัติธรรมได้เกิดสมาธิ ในระหว่างปฏิบัติพอสมควร เวลา เห็นก็สักแต่เห็น โดยไม่รับรู้ ถึงรูปพรรณสัณฐานของสิ่งที่เห็น เวลาได้ยิน ก็สักแต่ได้ยิน ไม่รับรู้ความหมายของสิ่งที่ได้ยิน เวลารู้กลิ่น ลิ้มรส รู้สัมผัส หรือนึก คิดเรื่องราวต่าง ๆ ก็รับรู้อาการสักแต่รู้กลิ่น สักแต่ลิ้มรส สักแต่รู้สัมผัส และ อาการฟุ้ ง อาการนึกคิดเรื่องราวต่าง ๆ โดยไม่รับรู้ถึงกลิ่นว่าเป็นกลิ่นอะไร ไม่รับรู้รสชาติ ไม่รับรู้ถึงสิ่งที่สัมผัส และไม่รับรู้เรื่องราวที่นึกคิดอยู่ เมื่อเป็นเช่นนั้นจิตของ นักปฏิบัติดังกล่าวก็จะมีสมาธิแน่วแน่อยู่ที่อารมณ์กรรมฐาน นักปฏิบัติดังกล่าว จะประสบความก้าวหน้าในการปฏิบัติได้อย่างรวดเร็ว เมื่อมีสมาธิตั้งมั่นแล้วก็จะ เกิดวิปัสสนาญาณที่หยั่งรู้ สภาวธรรมตามความเป็นจริง ในที่สุดก็จะบรรลุถึงความ สุข กล่าวคือ มรรค ผล นิพพาน ึ่ซึ่งเป็นความสุขที่สูงสุดในพระพุทธศาสนา

           ๒ . โสตวา พธิโร ยถา แม้จะมีหูก็พึงทำตัวคล้ายกับคนหูหนวก หมายความว่า ถึงแม้จะมีโสตประสาทสามารถได้ยินเสียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็พึงทำตัวคล้ายกับเป็นคนที่หูหนวก โดยไม่รับรู้ถึงเสียงที่ได้ยินนั้น

            โดยปรกติแล้ว เวลาเราได้ยินเสียงอย่างใดอย่างหนึ่ง จิตของเรา จะไปจดจ่ออยู่ที่เสียงที่ได้ยิน ว่าเสียงนี้เป็นเสียงอะไร เป็นเสียงรถ เป็นเสียงคน พูดกัน เป็นเสียงของผู้ชาย หรือเป็นเสียงของผู้หญิง ในขณะที่จิตของนักปฏิบัติ ได้ไปรับรู้ถึงเสียงดังกล่าวนี้ จัดว่าขาดสติที่รู้เท่าทันปัจจุบันอารมณ์เพราะอารมณ์ กรรมฐานคือกายกับจิตภายในร่างกายที่กว้างศอกยาววาหนาคืบนี้เท่านั้น ในขณะ ที่นักปฏิบัติ ขาดสติระลึกรู้ ถึงสภาวธรรมการได้ยินที่กำลังเกิดขึ้นอยู่เพราะจิต ของเรารับอารมณ์เพียงอารมณ์ เดียว เมื่อขาดสติรับรู้สภาวธรรมการได้ยิน ไปรับรู้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่ได้ยิน จัดว่าขณะนั้นขาดสติชั่วคราว และสติที่ขาดการระลึก รู้ ปัจจุบันอารมณ์ ในขณะนั้น ก็ประกอบด้วยความฟุ้งซ่านอยู่เสมอ เนื่องจากนักปฏิบัติไม่มีสติอยู่แล้ว ด้วยเหตุดังกล่าว พระมหากัจจายนะเถระจึงได้สอนให้นักปฏิบัติไม่พึงรับรู้อารมณ์ภายนอกขณะได้ยินเสียง พึงทำตัวคล้ายเป็นคนหูหนวก ถึงแม้จะมีหูก็ตามแต่ไม่รับรู้เสียงที่ได้ยินซึ่งเป็นอารมณ์ภายนอก พึงจดจ่อตาม รู้ที่สภาวธรรมการได้ยิน ซึ่งเป็นอารมณ์ ภายในของตนเท่านั้น

            การที่นักปฏิบัติได้ประพฤติตนให้เหมือนกับเป็นคนหูหนวกนั้น คือ ไม่รับรู้ถึงเสียงที่กำลังได้ยินอยู่ไม่ว่าเสียงนั้นจะเป็นเสียงรถ เสียงนก หรือเสียงกา เสียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม ไม่พึงรับรู้ ต่อเสียงที่กำลังได้ยิน สักแต่กำหนด รู้ถึงสภาวธรรมการได้ยินที่กำลังเกิดขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้นนักปฏิบัติจึงไม่จำเป็น ต้องนำสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาอุดหูของตนเอง แต่การประพฤติตนให้ตนเหมือน คนหูหนวกนั้น เป็นการกำหนดสภาวธรรมการได้ยินโดยให้หยุดอยู่สักแต่ที่ สภาวธรรมการได้ยินเพียงอย่างเดียว
            
            ท่านสาธุชนทั้งหลาย สาเหตุที่เราสามารถได้ยินเสียงนั้น มีอยู่ ๔ ประการด้วยกัน ประการแรก คือ โสตประสาท หรือหูของเรานั่นเอง ประการที่สอง คือ เสียงที่พุ่งมากระทบกับโสตประสาท ประการที่สาม คือ อากาศหรือช่องว่าง ประการที่สี่ คือ มนสิการ หรือการตั้งจิตจดจ่ออยู่ที่เสียงนั้น ขณะที่นักปฏิบัติได้เจริญวิปัสสนากรรมฐานอยู่ จดจ่ออยู่ ที่อารมณ์กรรมฐานอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าเป็นการเคลื่อนไหวของท้องก็ตาม อาการยก อาการย่าง อาการเหยียบ ของเท้าก็ตาม เมื่อเป็นเช่นนั้น ถึงแม้ว่าจะได้ยินเสียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม แต่เมื่อนักปฏิบัติได้สมาธิมากขึ้นแล้วจะขาดมนสิกาคือ ความสนใจจดจ่อ ต่อเสียงที่ได้ยิน แต่จะสามารถกำหนดรู้เท่าทันสภาวธรรมการได้ยินได้โดยกำหนดว่า ได้ยินหนอ ได้ยินหนอ เมื่อเป็นเช่นนั้นถึงแม้ว่าจะมีโสตประสาท ถึงแม้จะมีเสียงที่มากระทบโสตประสาท ถึงแม้ว่าจะมีอากาศหรือช่องว่าง แต่นสิการของนักปฏิบัตินั้นไม่ใช่มนสิการที่จดจ่ออยู่กับเสียง แต่จดจ่อ อยู่ที่สภาวธรรมการได้ยิน เมื่อเป็นเช่นนั้น นักปฏิบัติดังกล่าว จะสามารถรับรู้ถึงสภาวธรรมการได้ยินโดยสักแต่ได้ยินได้ ไม่รับรู้ว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นเป็นเสียง อะไร เป็นเสียงรถ เป็นเสียงนก เป็นเสียงกา หรือเป็นเสียงคนพูดกัน

            เมื่อนักปฏิบัติประกอบด้วยองค์คุณประการที่สอง คือ ประพฤติตนให้เหมือนกับเป็นคนหูหนวก ไม่รับรู้ ถึงเสียงที่ได้ยินอยู่สักแต่รับรู้ถึงสภาวธรรม การได้ยินเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นสติของนักปฏิบัตินั้นก็จะมีความต่อเนื่อง สมาธิแน่วแน่อยู่ที่อารมณ์กรรมฐาน แล้วจะเกิดวิปัสสนาญาณที่หยั่งรู้สภาวธรรม ตามความเป็นจริง และวิปัสสนาญาณดังกล่าวจะแก่กล้าขึ้นเรื่อย ๆ จนใน ที่สุดก็จะบรรลุถึง มรรค ผล นิพาน ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายในพระพุทธศาสนาได้

            ๓ . ปญฺญวาสฺส ยถา มูโค นักปฏิบัติแม้จะมีปัญญา มีความรู้ ความเข้าใจก็ตาม ก็พึงทำตัวเหมือนกับคนใบ้ หมายความว่า ถึงแม้จะมีความรู้ ความเข้าใจในการอธิบายธรรมให้กับผู้อื่นให้เกิดความเข้ าใจได้ก็ตาม แต่ในระหว่าง ที่ปฏิบัติธรรมอยู่นี้ไม่ควรจะพูด ไม่ควรจะออกเสียงออกมา เพราะในขณะที่พูด ออกมา นักปฏิบัติจะขาดสติที่กำหนดรู้ ปัจจุบันอารมณ์อยู่เพราะฉะนั้นถึงแม้จะ มีปัญญา ก็พึงทำตัวเหมือนกับเป็นคนใบ้ โดยพยายามพูดให้น้อยที่สุดเท่าที่เป็นได้

            ท่านสาธุชนทั้งหลาย การสนทนาในระหว่างปฏิบัติธรรมนั้น จัดว่า เป็นอุปสรรคที่สำคัญอย่างยิ่งในการปฏิบัติธรรม เนื่องจากว่าขณะที่พูดคุย สนทนาอยู่ จิตของบุคคลที่พูดนั้นจะรับอารมณ์คือสมมติบัญญัติ ได้แก่เรื่อง ที่กำลังพูดอยู่ บุคคลนั้นจะขาดสติระลึกรู้ ปัจจุบันอารมณ์ ของตนเอง ไม่ว่าจะ เป็นสภาวธรรม ทางกาย หรือ สภาวธรรมทางจิตก็ตาม ก็จะขาดสติระลึก รู้สภาวธรรมเหล่านั้น ผู้ที่พูดคุยโดยใช้ระยะเวลาเพียง ๕ นาที จัดว่าเสียสมาธิ ขาดสติเป็นระยะถึง ๑๐ นาที ทั้งนี้เพราะว่าก่อนที่จะพูดก็ต้องคิดก่อนว่า จะพูดเรื่องอะไร ดังนั้นพระมหากัจจายนะเถระจึงได้สอนให้นักปฏิบัติ พยายามทำตัวให้เหมือนกับคนใบ้โดยถึงแม้ว่าจะมีปัญญา มีความรู้ มีความเข้าใจ สามารถอธิบายให้ผู้อื่นฟังได้ก็ตาม แต่ เพื่อจะรักษาสติให้ต่อเนื่องกับการ ปฏิบัติธรรมจึงควรทำตนให้เหมือนกับคนใบ้โดยไม่พยายามพูดในระหว่าง ปฏิบัติธรรมนี้

             การสนทนากันในระหว่างปฏิบัติธรรมนี้ จัดว่าเป็นอุปสรรคอย่างยิ่ง สำหรับบุคคลที่พูดกันเอง ไม่ว่าจะเป็นผู้ พูดก็ตาม ผู้ฟังก็ตาม หรือบุคคลรอบข้างก็ตาม จะทำให้บุคคลทั้งสามฝ่ายขาดสติที่ต่อเนื่องในการปฏิบัติธรรม และ หลังจากพูดแล้วก็จะนำข้อความเหล่านั้นกลับมาคิดฟุ้งซ่านในภายหลังอีกครั้งหนึ่ง เพราะฉะนั้นพระมหากัจจายนะเถระจึงได้แนะนำให้นักปฏิบัติพยายามทำตนให้เหมือนกับคนใบ้โดยจะพูดก็ต่อเมื่อเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด สำคัญที่สุดเท่านั้น ถ้าหากว่าไม่จำเป็นไม่สำคัญก็พยายามรักษาความเงียบความสงบไว้เพื่อการปฏิบัติให้มีสติต่อเนื่อง หลังจากนั้นก็จะเกิดสมาธิและปัญญาต่อมา การที่พระมหา กัจจายนะเถระได้อธิบายความว่านักปฏิบัติพึงประพฤติตนให้เหมือนกับคนเป็นใบ้นี้ ก็คล้อยตามพุทธประสงค์ของพระพุทธองค์ด้วย

            ๔ . พลวา ทุพฺพโลริว แม้จะมีกำลังก็พึงทำตนคล้ายกับคนที่ ไม่มีกำลัง หมายความว่าถึงแม้ นักปฏิบัติจะมีสุขภาพดีก็ตาม ก็พึงประพฤติตน คล้ายกับคนที่ไม่มีกำลัง คือพึงเคลื่อนไหวร่างกายอย่างเชื่องช้า และพยายาม ตามกำหนดรู้ อาการเคลื่อนไหวนั้น เพราะการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างเชื่องช้า จะทำให้นักปฏิบัติได้สามารถตามรู้ อาการเคลื่อนไหวดังกล่าวได้โดยละเอียด

            ท่านสาธุชนทั้งหลาย บุคคลที่มีพละกำลังนั้น มักจะเคลื่อนไหว ร่างกายด้วยความรวดเร็ว ไม่ว่าจะลุกขึ้นก็ตาม ไม่ว่าจะย่อกายลงก็ตาม ไมว่าจะ ยื่นมือออกไปก็ตาม ไม่ว่าจะหดมือเข้ามาก็ตาม ไม่ว่าจะเหยียดแขนก็ตาม หรือไม่ว่าจะคู้แขนก็ตาม บุคคลที่มีกำลังนั้นจะพยายามเคลื่อนไหวร่างกาย อย่างรวดเร็ว แต่การเคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็วของบุคคลที่มีกำลัง ก่อให้เกิดโทษอย่างหนึ่ง คือนักปฏิบัตินั้นจะไม่สามารถตามรู้อาการเคลื่อนไหว นั้นโดยละเอียดได้เพราะฉะนั้น เพื่อให้ตามรู้ อาการเคลื่อนไหวต่าง ๆ โดยละเอียด ไม่ว่าจะเป็นการลุกขึ้น การย่อกายลง การเหยียด การคู้ การยื่น หรือการจับ เป็นต้น นักปฏิบัติพึงพยายามเคลื่อนไหวช้าที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้พยายามทำตนให้เหมือนกับเป็นคนไม่มีกำลัง คนป่วยหนัก เพราะฉะนั้น พระมหากัจจายนะเถระจึงสอนองค์คุณประการที่สี่ว่า แม้จะมีกำลังก็พึง ทำตนให้เหมือนกับตนไร้กำลัง เมื่อสติของนักปฏิบัติสามารถตามรู้อาการ เคลื่อนไหวได้โดยละเอียดแล้ว ก็จะก่อให้เกิดสมาธิ และก่อให้เกิดวิปัสสนาปัญญา ที่รู้แจ้งสภาวธรรมตามความเป็นจริงต่อมา และหลังจากนั้น ก็จะสามารถประสบ ความก้าวหน้า บรรลุถึงมรรค ผล นิพพาน ต่อมาได้ ในการเจริญวิปัสสนากรรมฐานนี้ อารมณ์ที่นักปฏิบัติพึงกำหนดรู้ มีอยู่ ๒ อย่าง คือ กายกับจิตของเรานั่นเอง กายกับจิต ซึ่งเกิดขึ้นภายในร่างกาย ที่กว้างศอก ยาววา หนาคืบนี้ เป็นอารมณ์ของการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ส่วนอารมณ์ ภายนอกร่างกายทั้งหมด ไม่ใช่อารมณ์ของการปฏิบัติธรรม นอกจากกายกับจิตซึ่งกำลังเกิดขึ้นอยู่ ในปัจจุบันขณะเท่านั้น จึงจัดว่าเป็น อารมณ์ของการเจริญสติปัฎฐาน ทั้งนี้เพราะกายกับจิตที่ดับไปแล้ว เราไม่สามารถที่จะรับรู้ ถึงสภาวธรรมที่แท้จริงของอารมณ์ ที่ดับไปแล้วได้แม้ว่า อารมณ์ที่ดับไปนั้น จะดับไปเป็นระยะเวลาครู่เดียว เพียง ๑ วินาทีเท่านั้น แต่นักปฏิบัติก็ไม่สามารถที่จะรับรู้ถึงอาการซึ่งดับไปแล้วนั้นได้เพราะฉะนั้น กายกับจิตที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ ในปัจจุบันขณะ จึงจัดว่าเป็นอารมณ์ ของการปฏิบัติธรรม เป็นอารมณ์ที่นักปฏิบัติพึงกำหนดรู้ เท่าทันอยู่เสมอ นักปฏิบัติที่พยายามกำหนดรู้เท่าทันปัจจุบันอารมณ์ โดยพยายามเคลื่อนไหวร่างกายอย่างเชื่องช้า ก็จะสามารถตามรู้เท่าทันปัจจุบันอารมณ์ หมายถึงเป็นอาการเคลื่อนไหวซึ่ง กำลังเกิดขึ้นจากระยะหนึ่ง ๆ ไปสู่ระยะหนึ่งๆ ได้อย่างละเอียดและชัดเจน เมื่อเป็นเช่นนั้น นักปฏิบัติที่สามารถตามรู้เท่าทันอารมณ์เหล่านั้นที่กำลังเกิด อยู่ ได้อย่างละเอียดและชัดเจน ก็จะสามารถประสบความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม หมายถึงจะเกิดสมาธิที่ต่อเนื่องจะเกิดสติที่ต่อเนื่อง มีสมาธิที่แน่วแน่อยู่ที่อารมณ์กรรมฐาน และเกิดวิปัสสนาญาณที่หยั่งรู้ อารมณ์เหล่านั้นตามความ เป็นจริงต่อมา

            ในชีวิตประจำวันของเรานั้น เราต้องประกอบภารกิจต่าง ๆ ในเรื่อง ของโลกียวิสัย ซึ่งความประพฤติต่างๆ ในโลกียวิสัย ในชีวิตที่ครองเรือนอยู่นี้ จัดว่าตรงกันข้ามกับการปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง ในระหว่างที่ปฏิบัติธรรมอยู่ การกำหนดรู้ หรืออาการเคลื่อนไหวต่างๆ จะตรงกันข้ามกับความเคยชินในชีวิต ประจำวันที่เราได้เคยชินอยู่ ในด้านโลกียวิสัยนั้น

            การที่การปฏิบัติธรรมซึ่งเป็นโลกุตตรวิสัย มีความแตกต่างจาก โลกียวิสัยในชีวิตประจำวัน ก็เนื่องจากในโลกียวิสัยนั้น เราจะต้องมีทัศนวิสัย ที่กว้างไกลในการประกอบธุรกิจการงานต่างๆ ในการแสวงหาเงิน ในการแสวงหา ทรัพย์สินเพื่อเลี้ยงครอบครัว บุคคลนี้จะต้องมีทัศนวิสัยที่กว้างไกล จะต้องรู้จัก ใคร่ครวญคำนึงถึงอนาคต ใคร่ครวญถึงเหตุผล ถึงผลได้ผลเสีย ซึ่งจะติดตาม มาต่อไป แต่สำหรับในโลกุตตรวิสัย ซึ่งเป็นเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น แตกต่าง จากโลกียวิสัยตรงกันข้ามทีเดียว เพราะในขณะนี้นักปฏิบัติพึงทำตนเหมือน กับทารกแรกเกิด ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต มีแต่ปัจจุบันเท่านั้น แม้ว่าจะมีดวงตา ก็พึงทำตนคล้ายกับเป็นคนตาบอด ไม่รับรู้ถึงอารมณ์ภายนอกแต่อย่างใด

            ในเรื่องของโลกียวิสัย ซึ่งเป็นเรื่องของการดำเนินธุรกิจการงานต่างๆ บุคคลที่ดำเนินธุรกิจอยู่จะต้องมีโสตประสาทที่กว้างไกลกว่าบุคคลธรรมดา จะต้องได้ยินข่าว หรือสืบข่าวให้กว้างกว่าบุคคลอื่น แต่สำหรับในโลกุตตรวิสัย ซึ่งเป็นเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น นักปฏิบัติพึงทำตัวเหมือนกับเป็นคน หูหนวกนั่นเอง ซึ่งไม่รับรู้ถึงเสียงที่ได้ยินว่าเป็นเสียงนก เสียงกา เสียงบุรุษ เสียง สตรี สักแต่รับรู้ถึงสภาวธรรมการได้ยิน เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะประสบความ ก้าวหน้าในการปฏิบัติได้อย่างรวดเร็ว

           ในโลกียวิสัยที่ประกอบธุรกิจการงานอยู่ บุคคลที่มีปัญญา มีความรู้มีความเฉลียวฉลาดก็จะต้องใช้คำพูดของตน ให้เป็นประโยชน์กับการดำเนิน ธุรกิจการงาน แต่ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมซึ่งเป็นโลกุตตรวิสัยนั้น เป็นสิ่งที่ ตรงกันข้ามกับโลกียวิสัยโดยสิ้นเชิง คือนักปฏิบัติถึงแม้จะมีปัญญา มีความรู้ ความเข้าใจก็ตาม ก็พึงประพฤติตนให้เหมือนกับเป็นคนใบ้ โดยไม่พูดคุยแต่อย่างใด เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะประสบความก้าวหน้าในการปฏิบัติได้

             นอกจากนั้นแล้ว ในโลกียวิสัยที่ประกอบธุรกิจการงานอยู่จะต้อง มีความว่องไว จะต้องใช้พละกำลังในการประกอบธุรกิจการงานของตน จึงจะประสบความก้าวหน้าได้ แต่สำหรับในโลกุตตรวิสัยซึ่งเป็นการปฏิบัติธรรมนั้น เป็น สิ่งที่ตรงกันข้ามกัน เพราะนักปฏิบัติถึงแม้จะมีกำลังก็ตาม ก็พึงประพฤติตน ให้เหมือนกับคนที่ไม่มีกำลัง ให้เหมือนคนอ่อนแอที่ไร้กำลังพยายามเคลื่อนไหว อย่างเชื่องช้า จะทำให้ตามรู้อาการเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน และโดยละเอียดได้เมื่อเป็นเช่นนั้นนักปฏิบัติดังกล่าวก็จะสามารถประสบความก้าวหน้าในการ ปฏิบัติธรรมจนในที่สุดสามารถบรรลุผลการปฏิบัติ คือ มรรค ผล นิพพาน ในพระพุทธศาสนาได้

            ในวันนี้อาตมาภาพเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้ว ขอให้ท่านสาธุชน ทั้งหลายปฏิบัติตามองค์คุณของนักปฏิบัติ ๔ ประการ ตามที่พระมหากัจจายนะ เถระได้แนะนำไว้และสามารถบรรลุถึงจุดมุ่งหมายในพระพุทธศาสนา คือ การบรรลุถึงมรรค ผล นิพพาน ตามสมควรแก่การตั้งใจ และบารมีธรรม ของตนด้วยเทอญ ฯ

 
 

Top