ภควัน ศรี ราชนีชชี้มรรคา

ธรรมรักขิต” แปล

จงรักตนเองให้ถูกทาง

        เมื่อวานนี้ ข้าพเจ้าบังเอิญได้ฟังการบรรยายธรรมในหัวข้อเรื่องว่าการทรมานตนเองแนวคิดแบบนี้รู้สึกว่าเป็นที่แพร่หลายมากในสมัย ปัจจุบัน คนทั้งปวงคิดว่า เขาควรจะ ปลูกความรักใครๆ แต่อย่ารักตนเอง เขารู้สึกว่า เขาควรจะเกลียดตนเอง และด้วยความเกลียดนี้เอง เขาก็จะสามารถเอาชนะวิญญาณของตนได้แต่ความคิดแบบนี้ผิดอย่างแน่นอนไม่ว่าจะแพร่หลายสักเท่าไรก็ตาม โดยวิธีนี้ คนจะแยกตัวเอง ออกเป็น ๒ เขาจะกระทำการรุนแรงต่อวิญญาณของเขาเอง อย่าลืมว่าความรุนแรงมีแต่จะทำ ให้ทุกสิ่ง ทุกอย่างน่าเกลียดน่ากลัว

        คนเราไม่ควรพยายามบีบกดแนวโน้มหรือความโน้มเอียงโดยธรรมชาติของคน เพราะถึงอย่างไรเราก็ไม่มีทางบีบกดมันได้อยู่ดี วิธีการ รุนแรงเช่นนี้ หาใช่วิธีการศาสนาไม่ ลองคิดดูเถิดว่ามนุษย์ได้คิดประดิษฐ์วิธีการทรมานร่างกายขึ้นมากี่อย่างแล้ว ในนามแห่งการบีบกด ตนเองทางศาสนา? และยังมีการเชื่อเสียด้วยว่ามีการบำเพ็ญตบะอัน ศักดิ์สิทธิ์ อยู่ในวิธีการทรมานตนนั้น แต่ถามความเป็นจริงแล้วมัน จะเป็นอะไรไปคงไม่ได้ นอกจากการแสวงหาความพอใจแบบซาดิสต์จากความรุนแรงเท่านั้น เป็นการหาความพอใจแบบวิตถารจากการ ทำทารุณกรรมแก่ตนเอง การกดขี่ข่มเหงตนเอง และการอดกลั้นต่อความเจ็บปวด หาใช่ศีลพรตอันศักดิ์สิทธิ์อย่างใดไม่เป็นเพียงการ หลอกลวงตนเองเท่านั้น

        คนเราควรสู้กับตนเอง แต่จะต้องเข้าใจตนเองให้กระจ่างแจ้งและเมล็ดพืชแห่งความเข้าใจอันสูงส่งนี้จะได้รับการหว่านลงไปก็ต่อเมื่อ คนเริ่มรักตนเองเท่านั้น

        แต่ท่านจะต้องรักตัวเองในทางที่ถูกต้องให้ได้ คนที่กระทำตามความฝันเฟื่องของตนอย่างคนตาบอดก็ดีคนที่ต่อสู้กับความฝันเฟื่องใน ความมืดก็ดี หาชื่อว่ารักตนเองไม่ คนทั้งสองแบบนั้นถือว่าตาบอดด้วยกันทั้งนั้น ตาบอดแบบที่สองเป็นเพียงปฏิกิริยาโต้ตอบแบบแรก และเกิดมาจากแบบแรกนั่นเอง ชายคนแรกวิ่งไล่ความฝันจนหมดแรง และคนที่สองก็ต่อสู้กับความฝันจนหมดแรงแต่ทั้งสองคนก็เกลียด ตัวตนอันแท้จริงของตนเช่นเดียวกัน ความเจริญเติบโตของความรู้เริ่มเกิดขึ้นเมื่อท่านเริ่ม รักตนเอง

 

จงแสวงหาตนอย่าหาความสุข

        มันเป็นคืนเดือนมืดแห่งฤดูฝนและท้องฟ้าก็เต็มแน่นไปด้วยเมฆหนา ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินดุ่มไปในความมืดอาศัยแสงฟ้าแลบเป็น ครั้งคราวเป็นเครื่อง นำทาง ในที่สุดเขาก็มาถึงกระท่อมหลังหนึ่ง และในกระท่อมนั้นก็มีคนขอทานสูงอายุคนหนึ่งอาศัยอยู่

        ชายแก่คนนั้นใช้ชีวิตอยู่ภายในกระท่อมนั้นตลอดเวลาโดยไม่เคยจากกระท่อมไปไหนเลย แต่ถ้ามีใครมาถามเขาว่าเคยไปเห็นที่ไหนมาบ้าง หรือไม่ เขาจะตอบ ทันทีว่าเคย “ เคยเห็น ฉันรู้จักดี ก็โลกทั้งโลกอยู่ในตัวเราแล้วมิใช่หรือ?”

        ข้าพเจ้าก็รู้จักชายคนนั้นดี เขามีอยู่ในตัวข้าพเจ้าด้วย เป็นความจริงที่ว่าเขาไม่เคยจากบ้านไปไหนเลย เวลานี้เขาก็ยังอยู่ในบ้านเขาอยู่ ณ ที่ที่เขาเคยอยู่ ที่ที่เขาจะอยู่ต่อไป ข้าพเจ้ารู้จักชายหนุ่มคนนั้นเป็นอย่างดีด้วย ข้าพเจ้าก็คือชายหนุ่มคนนั้นนั่นเอง

        ชายหนุ่มคนนั้นหยุดยืนอยู่ที่ซุ้มประตูกระท่อมครู่หนึ่งเขารู้สึกหวาดกลัวแต่แล้วก็เคาะที่ประตูเบาๆ มีเสียงถามมาจากทั้งในว่า“นั่นใคร?” มาทำอะไรที่นี่?

        ชายหนุ่มตอบว่า “ ฉันไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร แต่ฉันเดินทางท่องเที่ยวมาหลายปีแล้วเพื่อแสวงหาความสุข การแสวงหานั้นนำฉันมาสู่ประต ู ูบ้านของท่านในที่สุด”

        มีเสียงหัวเราะดังออกมาจากข้างในและมีเสียงพูดว่า “ คนที่ยังไม่รู้จักตัวเองจะพบความสุขได้อย่างไร ถ้าจะแสวงหาความสุขต้องไม่มี อะไรสงสัย แต่เอาเถอะ เพียงแต่ความรู้ที่ว่าเจ้าไม่รู้จักตัวเอง ก็นับว่าใช้ได้ทีเดียว ฉันจะเปิดประตูให้ แต่โปรดจำไว้ ลำพังการเปิดประตู ของคนอื่นจะไม่มีประตูใดเปิดให้เธอเลย”

        ประตูได้เปิดออก ชายหนุ่มได้มองเห็นชายขอทานยืนอยู่ข้างหน้า โดยอาศัยแสงฟ้าแลบ เขาไม่เคยเห็นอะไรเช่นนั้นมาก่อนเลย และชายคน นั้นมีตัวเปล่าเปลือย อย่างสิ้นเชิง แล้วความงามมักจะเปล่าเปลือยเสมอ เสื้อผ้าเพียงแต่ปกปิดความน่าเกลียดไว้เท่านั้น

        ชายหนุ่มนั่งลงข้างหน้าชายแก่ก้มศีรษะลงแทบเท้าของคนขอทานแล้วถามว่า “ความสุขคืออะไร? โปรดบอกฉันด้วย ความสุขคือ อะไร?”

        ชายแก่หัวเราะอีกครั้งแล้วพูดว่า “ พ่อหนุ่มเอ๋ยความสุขมีอยู่ในอิสรภาพ เมื่อใดเธอเป็นอิสระ เมื่อนั้นเธอจะเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขจง ลืมเท้า ฉันเสีย จงลืมเท้าของใครๆ เสีย เธอกำลังแสวงหาความสุขโดยการหวังพึ่งคนอื่น นี้เป็นความผิดพลาดสำคัญ เธอกำลังแสวงหา ความสุขนอกตนเอง นี้ก็เป็นความผิดอีกประการหนึ่ง ความจริงที่ว่า เธอกำลังแสวงหา นี้แหละคือความผิดอันยิ่งใหญ่สิ่งใดอยู่ข้างนอก เราแสวงหาได้ แต่เธอจะแสวง หาสิ่งที่อยู่ภายในตัวเธอเองได้อย่างไร จงเลิกการแสวงหาเสีย แล้วมองกลับเข้าไปข้างใน ความสุขมีอยู่ใน ตัวเธอเองแล้วตลอดเวลา”

        ชายแก่ได้หยิบเอาผลไม้ 2 ผลออกมาจากย่ามแล้วกล่าวว่า“ ฉันจะให้ผลไม้ ๒ ลูกนี้แก่เธอ มันเป็นผลไม้วิเศษถ้าเธอกินลูกแรกเธอจะรู้ ว่าความสุขคืออะไร ถ้าเธอกินลูกที่สองเธอก็จะมีความสุขนั้น แต่เธอจะกินได้เพียงลูกเดียวเท่านั้น พอเธอกินลูกหนึ่งเสร็จอีกลูกหนึ่งก็จะ หายไป เธอเลือกเอาเลย จะกินลูกไหน?”

        ชายหนุ่มลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ตอบว่า “ผมจะเอาลูกแรกผมอยากรู้เสียก่อนว่าความสุขคืออะไร ถ้าผมไม่รู้จักความสุขผมจะหามันพบได้ อย่างไร?”

        ชายขอทานชราหัวเราะเบาๆ พูดว่า “ทีนี้ฉันรู้ละว่า ทำไมการแสวงหาของเธอจึงกินเวลายาวนานนัก โดยวิธีนี้ เธอจะไม่พบความสุขเลย ไม่ว่าจะเป็นกี่ปีหรือกี่ชาติ การแสวงหาความรู้ที่ว่าความสุขคืออะไร กับการได้รับความสุขเป็นคนละอย่างกัน การรู้จักความรู้กับการมีความ สุขอยู่กันคนละซีกโลก การรู้จักความสุขไม่ใช่ความสุข แต่เป็นความทุกข์ การรู้จักความสุขแต่ตัวเองไม่มีความสุขนั้นเป็นทุกข์อย่าง มหันต ์ ์เพราะเหตุนี้แหละ มนุษย์จึงเป็นทุกข์มากกว่าพืช สัตว์และนกแต่ความไม่รู้ก็ไม่ใช่ความสุขเช่นเดียวกันเป็นแต่เพียงผลสะท้อนของความ ทุกข์เท่านั้น

        ความสุขอยู่เหนือทั้งความรู้และความไม่รู้ การอยู่เหนือทั้งสองอย่างนั้นหมายความว่าจะต้องมีการหลุดพ้นจากจิตอันที่ที่เป็นอิสระจากจิต เขาก็จะหันเข้าหาอัตตา หรือ อาตมัน การตั้งตนไว้ในอาตมันนั้นแหละคือความสุข คือความหลุดพ้น และนั่นคือสิ่งที่เรียกว่า พระเจ้า