ปุจฉา
- วิสัชชนา วิปัสสนาภาวนา
|
พระกัมมัฎฐานาจริยะ
อู บัณฑิตาภิวังสะ
ประเทศพม่า
พิชิต
- วิธัญญา ภัทรวิมลพร
แปล
|
|
ขอท่านอาจารย์ได้โปรดแสดงตัวอย่างวิธีการภาวนา
โดยใช้นิวรณ์เป็นอารมณ์
แทนที่จะปล่อยให้นิวรณ์เป็นอุปสรรคในการภาวนา
|
วิสัชชนา
๑ |
นิวรณ์เป็นอารมณ์พื้นฐานของการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
( ธัมมานุปัสสนา)
อะไรก็ตามที่ปรากฏขึ้นที่กายที่ใจ
( รูปนาม) ของเราก็ใช้เป็นอารมณ์ในการภาวนา
ได้ทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นสภาวะที่ดีหรือไม่ดี
|
นิวรณ์เป็นทุกขสัจที่ต้องกำหนดรู้ตามความเป็นจริง |
อารมณ์ที่เป็นรูปนามทั้งหลายเหล่านี้
นับเป็นทุกขสัจ
* ซึ่งเป็นหนึ่งในอริยสัจสี่
นิวรณ์ ( ยกเว้นกามฉันทะ)
ก็เช่นกัน
หน้าที่ของเราต่อทุกขสัจนั้นก็คือ
การกำหนด
รู้ทุกขสัจ
อย่างถูกตรงตามความเป็นจริง
ดังคำที่ว่า
ทุกฺขํปริญฺเญยฺยํ
ดังนั้นสิ่งที่เราพึงทำก็คือ
กำหนดรู้
ณ จุดที่ทุกขสัจนั้นเกิดขึ้นตามแนวทางวิปัสสนาภาวนาเมื่อ
เรา เจริญ
ภาวนาอย่าง
ต่อเนื่องเราจะสังเกตเห็นว่านิวรณ์เกิดขึ้นและดับไปและเมื่อเห็นนิวรณ์ดับไปเราก็จะระลึกได้ว่านิวรณ์นี้มิใช่ที่น่าพึงพอใจแต่ประการใดเป็น
สภาวะ ที่เกิดขึ้นเอง
เรามิใช่เป็น
ผู้กะเกณฑ์ให้เกิด
เป็นสภาวะที่ไม่อาจบังคับบัญชาได้
เราจะประจักษ์แจ้งลักษณะนี้เองโดยอัตโนมัติ
|
นิวรณ์
..... เครื่องกีดกั้นกุศลธรรม |
ขณะที่นิวรณ์ปรากฏขึ้นในใจของเรานั้น
นิวรณ์จะกีดกั้นกุศลธรรมทั้งหลายมิให้เกิดขึ้นในกระแสแห่งการรับรู้ของเรา
สมกับที่ได้ชื่อว่า
“ นิวรณ์”
ซึ่งแปลว่าเครื่อง
ปิดกั้น หรืออุปสรรคกีดกั้นความเจริญ
เมื่อนิวรณ์ปรากฏในกระแสแห่งการรับรู้นิวรณ์จะฉาบทาจิตให้หม่นหมองจึงนับว่านิวรณ์เป็นอุปกิเลสชนิดหนึ่งนิวรณ์จะปิด
กั้น มิให้ปัญญาบังเกิด
ขึ้น หรือแม้ว่าปัญญาจะเกิดขึ้นแล้ว
นิวรณ์ก็จะทำให้ปัญญาญาณอ่อนกำลังลง
ซึ่งเป็นลักษณะหรือกิจของนิวรณ์ที่เรียกว่าปญฺญายทุพพลีกรณ
หากมอง ในลักษณะนี้
นิวรณ์จะเป็นสิ่ง
ไม่พึงปรารถนา
และเป็นอกุศล
ธรรม การปฏิบัติต่อนิวรณ์ก็จะเป็นไปในลักษณะเดียวกับการรักษาโรคร้ายคือเริ่มต้นด้วยการ
หลีกเลี่ยง
ป้องกัน รักษา
ต่อสู้ และกำจัดให้สิ้นซาก
ผู้ปฏิบัติธรรมจำเป็นต้องมีมาตรการเหล่านี้เช่นกันในการเอาชนะนิวรณ์ให้ได้อย่างเด็ดขาดสิ้นเชิงพระพุทธองค์
ทรงประทาน
กลวิธีในการต่อสู้เพื่อเอาชนะนิวรณ์ไว้แล้ว
ซึ่งก็คือ
สติปัฏฐานภาวนานั่นเอง
|
การเปลี่ยนนิวรณ์ทั้งหลาย
ให้เป็นธัมมารมณ์ |
คำถามที่ว่าเราจะนำนิวรณ์มาใช้เป็นอารมณ์ภาวนาได้อย่างไรนั้น
อันที่จริงนิวรณ์ปรากฏ
ในตัวเราอย่างชัดแจ้งอยู่แล้ว
โดยเราไม่จำเป็นต้องเชื้อเชิญหรือแสวงหา
มาเป็น อารมณ์เพื่อใช้ในการภาวนาเลย
ยกตัวอย่างเช่น
กามฉันทนิวรณ์
มนุษย์โดยทั่วไปจะถูกกามฉันทะครอบงำอยู่ตลอดเวลา
ถ้าเราปล่อยให้นิวรณ์นี้อยู่กับเรา
กามฉันทะก็จะมีอำนาจ
เหนือเรา
บ่อยครั้งเมื่อเราประสบสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา
พยาปาทนิวรณ์
ก็จะบังเกิดขึ้น
และเราก็รู้ว่าความรู้สึกไม่พึงพอใจเกิดขึ้นในตัวเรา
หรือบางครั้งเราไม่ต้องการจะทุ่มเทหรือ
ใช้พลังในการกระทำอันเป็นกุศล
เช่น สติปัฏฐานภาวนา
หรือเราตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าจะพากเพียรปฏิบัติ
แต่แล้วเราก็
หมดเรี่ยวแรงอย่างรวดเร็ว
สิ่งเหล่านี้ปรากฏอย่างชัดแจ้งในตัวเราอยู่แล้วเราไม่จำต้องจงใจสร้างภาวะเหล่านี้ขึ้นมาใช้เป็นอารมณ์ภาวนาแม้แต่เวลาที่เราพยายาม
รักษาความระลึกรู้ไว้ที่อารมณ์ภาวนาใดๆ
การระลึกรู้นั้นก็ไม่สามารถ
ดำรงอยู่กับอารมณ์นั้นได้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลาจะมีความคิด
แทรกแซงเข้ามาอยู่เสมอแล้ว
เรา ก็จะรู้สึกฟุ้งซ่านกระสับกระส่ายซึ่งก็เป็นอุทธัจจนิวรณ์ที่ทำให้จิตของเราพรากจาก
อารมณ์กรรมฐาน
สภาวะเช่นนี้ก็ปรากฏในตัวเราอย่างเด่นชัดบางทีเราอาจ
รู้สึกละอายใจที่ได้กระทำสิ่งที่ไม่ดีในอดีตและบางครั้งเสียดายที่ได้ละเลย
ที่จะประกอบคุณงามความดี
บางอย่าง
บางครั้งเราก็เคลือบแคลงใจว่าธรรมะหรือคำสอน
ที่เราได้รับ
จากกัลยาณมิตรผู้มีเมตตากรุณาต่อเรานั้นจะมีประโยชน์
จริงแท้หรือไม่หรือสงสัยว่า
สติปัฏฐานจะทำให้บุคคลมีจิตใจหมดจดงดงามล่วงพ้นจากความ
เศร้าโศกพิไรรำพัน
และบรรลุพระนิพพานได้จริงหรือ
เหล่านี้จัดเป็นวิจิกิจฉานิวรณ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ชอบวิเคราะห์และจินตนาการ
อาจคิดไปว่าไม่จำเป็นต้อง
เชื่อถือในสิ่งที่ยังไม่ได้
พิสูจน์ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์
เราจึงมักสงสัยความสงสัยเป็นรูปแบบของความรู้อย่างหนึ่ง
ซึ่งนับว่าเป็นวิจิกิจฉาเช่นกัน
นิวรณ์เหล่านี้
เมื่อปรากฏชัดอยู่ในตัวเรา
ย่อมเป็นอุปสรรคต่อการเจริญสมาธิและปัญญา
ดังนั้นแล้วเราจะใช้นิวรณ์เป็นอารมณ์ในการภาวนาได้อย่างไรคำตอบก็คือให้กำหนด
อารมณ์นิวรณ์นั้นไปไม่จำ
เป็นต้องเปลี่ยนอารมณ์
เพราะนิวรณ์ก็เป็นธัมมารมณ์อยู่ในตัวนั่นเอง
ถ้าหากไม่มีสติปัฏฐานภาวนาแล้วไม่มีวิธีไหนที่จะทำให้นิวรณ์ทั้งหลายกลายเป็นธัมมารมณ์คือธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานได้เลยเมื่อเราเจริญภาวนาอยู่โดยการ
กำหนดรู้ความรู้สึก
การเห็น การได้ยิน
และการรับรู้ทางผัสสะอื่นๆ
อย่างมีสติ
อย่างถูกตรงและต่อเนื่อง
รวมทั้งในขณะที่เราพยายามประคองสติ
เพื่อที่จะไม่เปิด
โอกาสให้นิวรณ์
แทรกเข้ามาในความระลึกรู้ได้นั้นนิวรณ์ก็ยังปรากฏอยู่เนืองๆดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องจงใจใช้หรือเลือกสรรนิวรณ์มาเป็นอารมณ์กรรมฐาน
อย่างไร ก็ตามเมื่อเราเจริญภาวนา
จนเกิดญาณปัญญาในระดับที่สูงขึ้น
จิตของเราจะมั่นคงไม่หวั่นไหวเมื่อกามคุณอารมณ์ใดๆ
มาก ระทบแม้จะพยายามกระตุ้นจิตใจให้เกิด
ความชอบความชัง
จิตของเราก็จะไม่เลื่อน
ไหลไปตามอารมณ์ดังกล่าวในขณะนั้นเราจะเป็นอิสระจากนิวรณ์อยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
|
อะไรเป็นเหตุให้เกิดกามฉันทะนิวรณ์ |
ลองพิจารณาดูว่า
เหตุใดนิวรณ์เช่นกามฉันทะจึงเกิดขึ้นได้
พระพุทธองค์ตรัสว่า
กามฉันทนิวรณ์เกิดจากการที่เราได้เคยประสบกับสิ่งอันน่าพึงพอใจ
ไม่ว่าจะเป็น
รูป เสียง
กลิ่น รส สัมผัสหรือความรู้สึกนึกคิดที่น่ายินดีเมื่อประกอบ
กับความเห็นที่ไม่ตรงตามความเป็นจริง
เช่น การเห็นสิ่งที่เป็นอสุภะว่าเป็นสุภะ
เห็นร่างกายว่า
เป็น ของสวยงามน่าพอใจ
น่าปรารถนา
การเห็นสิ่งทั้งหลายว่าเที่ยงเป็นสุขน่ายินดี
และอยู่ในบังคับบัญชาของเรา
เราก็จะเกิดความพึงพอใจในกามคุณอารมณ์เหล่า
นั้น ด้วยความเห็นผิดดังกล่าวนี้
กามฉันทะที่ยังไม่เกิดก็จะบังเกิดขึ้น
ที่เกิดแล้วก็ทวีความรุนแรงยิ่งๆ
ขึ้นไป เพราะความเห็นผิดเหล่านี้เป็นอาหารของกามฉันทะ
ถ้า ไม่มีอาหารดังกล่าวกามฉันทนิวรณ์ก็เกิดขึ้น
ไม่ได้ หรือเป็นเหมือนเชื้อไฟถ้าไม่มีเชื้อไฟก็เกิดขึ้นไม่ได้ดังนั้นพระพุทธองค์จึงตรัสว่าความเห็นผิดกล่าว
คือทิฏฐิวิป
ลาส ทั้งหลายเป็นประดุจเชื้อไฟของ
กามฉันทนิวรณ์
|
อุบายวิธีเอาชนะนิวรณ์ |
อย่างไรก็ตาม
ไม่ว่าเราจะทำอะไรหรือตกอยู่ในสภาวะใดก็ตาม
หากเรารู้จักการวางใจที่ถูกวิธี
คือกระทำไว้
ในใจโดยแยบคายด้วยอุบายวิธีอันสร้างสรรค์และเหมาะ
ควร ซึ่งเรียกว่า
“ โยนิโสมนสิการ”
แล้วเราก็จะดำเนินชีวิตได้ถูกทิศทางเปรียบได้กับเรือที่มีหางเสือและนายเรือที่ดีแม้จะต้องทวนกระแสน้ำก็จะสามารถนำเรือแล่น
ไปให้ ้ถึงจุดหมาย
ได้ เมื่อมีโยมิโสมนสิการแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตล้วนเป็นเหตุแห่งกุศลกรรมได้ทั้งสิ้น
แม้กระทั่งสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาหรือไม่ดีงามตัว
เราผู้เปรียบเสมือน
ผู้คุมหางเสือแห่งนาวาชีวิตก็จะสามารถพลิกผันเหตุการณ์อันไม่พึงปรารถนาหรือไม่ดีงาม
ให้กลับกลายเป็นเหตุแห่งกุศลกรรมได้
ดังนั้น แม้ว่า
เราจะถูกนิวรณ์
หรือความเห็นผิด
อันใดครอบงำอยู่ก็ตาม
เราก็จะสามารถเอาชนะอกุศลกรรมเหล่านั้น
และยังกุศลให้เกิดขึ้นได้ด้วยโยนิโสมนสิการ
ดังนั้น
ในการเจริญภาวนา
เราควรกระทำไว้ในใจโดยแยบคายอยู่เสมอว่า
“ เราจะกระทำแต่สิ่งที่เป็นกุศลเท่านั้น”
การวางใจดังกล่าวจะนำพาให้
วิริยะ สติ
สมาธิ และปัญญาเจริญขึ้น
ซึ่งจะเสริมสร้างกุศลจิตและเอาชนะนิวรณ์ได้เอง
หากเราสามารถกำหนดรู้อารมณ์ต่างๆ
อย่างถูกตรงและต่อเนื่องทั้งความระลึกรู้ที่เกิดขึ้นก่อน
ความ ระลึกรู้ที่ตามมา
สืบต่อกันไปเป็นสาย
เมื่อมีสติกำหนดรู้อารมณ์อยู่เช่นนี้
ความยึดมั่นในกามคุณอารมณ์ก็ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้
ดังนั้นประการแรก
จำต้องมีความ
เห็นที่ถูกต้อง
มีโยนิโส
มนสิการ ประการที่สอง
มีสติที่เข้มแข็ง
มั่นคงประการ
ที่สามอยู่ในสถานที่อันเหมาะสมที่ซึ่งมีบุคคลผู้เป็นกัลยาณมิตรที่จะชี้ทาง
แห่งความ
บริสุทธิ์และห่างไกลจากนิวรณ์ได้
ประการ สุดท้าย
ดำรงตนอยู่ในศีลธรรมแน่วแน่ในวิถีทางที่จะนำไปสู่จุดหมายที่ดีงาม
( อัตตสัมมาปณิธิ)
เมื่อประกอบกับ
ความ เป็นผู้ที่ได้สั่งสมคุณความดีไว้ในอดีต
เราย่อมบรรลุความ
งอกงามไพบูลย์
สามารถดำเนินไปในหนทางชีวิตอันถูกต้อง
จวบจนถึงที่สุดแห่งทุกข์และหากสามารถเข้า
ถึงอนาคามิผลได้
เราจะสามารถกำจัดกามฉันทนิวรณ์ได้อย่างสิ้นเชิงด้วย
การประหารของอนาคามิมรรค
โดยสรุปแล้วพระพุทธองค์ทรงมีพุทธประสงค์ที่จะให้เรารู้ว่าปัจจัยที่ทำให้เกิดนิวรณ์ต่างๆ
มีกามฉันทนิวรณ์เป็นต้นนั้นได้แก่
อโยนิโสมนสิการปัจจัยที่จะป้องกัน
ไม่ให้เกิด
กามฉันทนิวรณ์ได้แก่
โยนิโสมนสิการ
อนึ่ง พระอรรถกถาจารย์ได้แสดงวิธีเอาชนะกามฉันทนิวรณ์ไว้หกประการ
คือ
๑. อสุภนิมิต
- เห็นกามคุณอารมณ์เป็นของไม่สวยงาม
๒. อสุภภาวนา
- เจริญอสุภกัมมัฏฐาน
๓. อินทรียสังวร
- สำรวจอินทรีย์หก
( ตา หู จมูก
ลิ้น กาย ใจ)
๔. โภชเนมัตตัญญุตา
- รู้ประมาณในการบริโภค
๕. กัลยาณมิตตตา
- การคบเพื่อนที่ดี
๖. สัปปายกถา
- การกล่าวถ้อยคำที่ไม่เกื้อกูลต่อกามคุณอารมณ์
|
ปุจฉา
๒ |
โยคีควรทำอย่างไรเมื่อรู้สึกว่าประสบการณ์ภาวนาของตนชะงักงันไม่ก้าวหน้าเป็นเวลานาน
และศรัทธาของตนก็เริ่มเสื่อมถอยลง
|
วิสัชชนา
๒ |
การปฏิบัติจะก้าวหน้าหรือไม่มิใช่หน้าที่ของโยคีที่จะตัดสิน
การนึกคิดดังกล่าวไม่ใช่สิ่งที่โยคีควรกระทำ
สิ่งที่โยคีพึงกระทำคือ
ต้องตระหนักว่าโยคีสามารถกำหนดรู้
หรือมีสติ
สัมปชัญญะหรือไม่
ขณะที่เจริญสติ
โยคีสามารถสังเกตอารมณ์ต่างๆ
ได้อย่างชัดเจนหรือไม่
สติของโยคีมีพลังหรือมีคุณภาพในระดับใดแม้โยคีจะคิดว่า
การภาวนาของ
ตนกำลังเป็น
ไปด้วยดี
วิปัสสนาจารย์ก็อาจมีความเห็นไม่ตรงกับโยคีก็ได้
หรือแม้โยคีคิดว่า
การปฏิบัติของตนไม่ก้าวหน้าเลย
วิปัสสนาจารย์ก็อาจ
เห็นเป็นอื่นได้
|
จุดมุ่งหมายของสติปัฎฐานภาวนา |
ไม่ว่าจะทำอะไร
เราต้องทำอย่างมีจุดมุ่งหมาย
ในการภาวนาก็เช่นเดียวกัน
จุดมุ่งหมายของการเจริญสติปัฏฐานภาวนา
คือ การล่วงพ้นจากสิ่งเศร้าหมองทั้งปวง
เมื่อสิ่ง
เศร้า หมองหรือความไม่บริสุทธิ์เหล่านี้ปรากฏขึ้นในจิตใจ
ย่อมเป็นสาเหตุให้เกิดความทุกข์หากเราปรารถนาความสุขและความบริสุทธิ์หมดจดแห่งจิตใจเรา
ก็เพียง แต่ขจัดสาเหตุแห่ง
ความทุกข์เหล่านี้
ด้วยวิธีที่เหมาะสม
เช่น สำรวมระวังกายใจหรือต่อสู้เอาชนะจนกระทั่งสามารถกำจัดเครื่องเศร้า
หมองต่างๆได้อย่าง
สิ้นเชิงอย่างไร
ก็ตามการใคร่ครวญถึง
จุดมุ่งหมายดังกล่าวนั้นไม่ควรให้เกิดขึ้นในขณะ
ปฏิบัติภาวนาเพียงแต่ให้มีไว้ก่อนปฏิบัติได้
|
หน้าที่ของโยคี |
นอกจากนี้โยคีไม่ควรจดจ่อหรือตั้งความปรารถนาอย่างแรงกล้าเพื่อความก้าวหน้าในการปฏิบัติมากเกินไปหากโยคีมีความรู้สึกเช่นนี้โยคีควรจะกำหนดรู้ความรู้สึก
นี้ด้วย บ่อยครั้งโยคีอาจจะคิดหรือวิเคราะห์มากมายเกี่ยวกับการปฏิบัติของตน
โดยเฉพาะโยคีที่ต้องการความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วดังนั้นเมื่อโยคีพากเพียรปฏิบัต
ิแล้วรู้สึกว่าไม่ก้าวหน้า
โยคีก็มักจะเสียใจ
ท้อใจ จนอาจถึงกับหมดศรัทธาที่จะปฏิบัติต่อไปความรู้สึกเช่นนี้แก้ไขได้ด้วยการมีสติเข้าไปกำหนดความรู้สึกนั้นๆ
หากเรา พยายามวิเคราะห์หรือเปรียบเทียบ
ว่าเรากำลังก้าวหน้าในการภาวนาหรือไม่
ทัศนคติเช่นนี้
จะทำให้การปฏิบัติของเราล่าช้า
หรืออาจถึงกับทำลายการปฏิบัติของเรา
ได้ มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่โยคีต้องกระทำ
คือ กำหนดรู้อารมณ์ที่เด่นชัดในปัจจุบันขณะอย่างเที่ยงตรง
และมีพลัง
นอกนั้นก็ไม่มีอะไรอื่นที่โยคีจะต้องทำหากโยคีสามารถ
ทำเช่นนี้ได้จริงๆ
กล่าวคือสามารถกำหนด
รู้อารมณ์
ทุกอารมณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ
โยคีย่อมประสบความก้าวหน้าในการเจริญภาวนา
|
การเจริญภาวนา
เหมือนการลับมีดบนแผ่นหิน |
การเจริญสมาธิและปัญญานั้น
อุปมาเหมือนการลับมีดที่ทื่อให้คมบนแผ่นหิน
มีอยู่สองสิ่งที่ต้องกระทำคือ
วางมีดในตำแหน่งที่ทำมุมพอดีกับแผ่นหิน
และใส่พลัง
เข้าไป อย่างสม่ำเสมอ
ในการลับมีดหากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งเราก็ไม่อาจลับมีดให้คมได้เช่น
ตั้งมีดไม่ถูกกับตำแหน่งหินหรือใส่พลังไม่ต่อเนื่องสม่ำเสมอเป็นต้น
การเจริญภาวนา
ก็เช่นกัน
เราจำ เป็นต้องสังเกตและระลึกรู้อารมณ์ต่างๆโดยมีใจจดจ่อที่อารมณ์นั้นอย่างเที่ยงตรงและพากเพียรรักษาความจดจ่อ
ต่อเนื่องในการ
ระลึกรู้หากปราศจาก
สิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วเราก็มิอาจลับ
ปัญญาญาณให้แหลมคมได้
ถ้าขาดองค์ประกอบอันใดอันหนึ่งหรือทั้งสองอย่างแม้จะปฏิบัติจนตลอดชีวิตก็
ไม่สามารถจะเจริญก้าวหน้าได้
|
การเจริญภาวนาที่ก้าวหน้าอยู่เสมอ |
อันที่จริง
โยคีสามารถรู้ได้ด้วยตนเองว่า
โยคีมีความก้าวหน้าในการภาวนาหรือไม่หากโยคีสามารถกำหนดรู้อารมณ์ที่กำลังเกิดขึ้น
เริ่มจากอารมณ์หลักในการภาวนา
เช่น การพอง-
ยุบของท้อง
หรืออารมณ์อื่นใดที่ปรากฏเด่นชัด
ในความรู้สึกในขณะนั้นหากโยคีมีสติระลึกรู้อารมณ์ต่างๆโดยตลอดและตระหนักได้ถึงธรรมชาต
ิที่แท้ จริงของอารมณ์
เหล่านั้น
ก็นับว่าใช้ได้
ไม่ต้องห่วงหรือกังวลเลยว่า
การปฏิบัติภาวนา
ก้าวหน้าหรือไม่
หากมีสติสัมปชัญญะอยู่อย่างถูกต้องโยคีก็กำลังก้าวหน้าไป
เรื่อยๆ
การเจริญภาวนานั้นคือการพัฒนาหรือปลูกฝังพฤติกรรมทางกาย
วาจาใจให้บริสุทธิ์หมดจด
ละเมียดละไมอ่อนโยนและงดงามการรักษาตนให้บริสุทธิ์ปราศ
จากความด่างพร้อยนับเป็นการเกื้อกูลผู้อื่นด้วย
เนื่องจากเราจะมิได้ก่อเวรภัยให้แก่ใคร
นอกจากนี้มีสิ่งที่ควรปฏิบัติซึ่งจะสนับสนุนให้การเจริญภาวนาของโยคีก้าว
หน้า ได้แก่
การฟัง ( ธรรมหรือคำสั่งสอนของครูบาจารย์)
อย่างตั้งใจ
และการพากเพียรปฏิบัติด้วยความเคารพและเอาใจใส่
|
โยคี
๔ ประเภท |
ประสบการณ์ในชีวิตการเป็นครูผู้สอนและเป็นผู้เจริญภาวนากว่า
๔๐ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่อาตมาอยู่ที่สำนักกรรมฐานและประพฤติปฏิบัติตามโอวาทของท่าน
อาจารย์ มหาสีสยาด่อ
ผู้มีพระคุณอย่างสูงยิ่งนั้น
อาตมาได้พบโยคี
๔ ประเภท คือ
๑. โยคีที่พูดเก่งและชัดเจน
คือ โยคีเหล่านี้จะเจริญภาวนาด้วยความเคารพและระมัดระวังไม่จงใจคิดวิเคราะห์ใดๆ
และสามารถรายงานผลการปฏิบัติได้ชัดเจน
อาตมา ถือว่าเป็นโยคีที่ดีที่สุด
มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติภาวนาและสามารถจะได้รับข่าวดีภายในเวลาเพียง
๓ สัปดาห์
๒. โยคีที่พูดเก่งแต่ไม่ชัดเจน
คือรายงานผลการปฏิบัติสับสนไม่ชัดเจน
โยคีเหล่านี้ไม่สามารถรายงานผลการปฏิบัติได้อย่างกระจ่างชัด
แม้จะก้าวหน้าในการเจริญสมาธิ
ิและปัญญาไปด้วยดีก็ตาม
๓. โยคีที่พูดน้อยแต่ชัดเจน
คือแม้จะพูดน้อยแต่สามารถรายงานผลการปฏิบัติได้ชัดเจน
โยคีเหล่านี้จะรายงาน
ผลการเจริญภาวนาได้ชัดเจนดีมาก
และอาจได้ยิน
ข่าวดีในการปฏิบัติภายใน
๖- ๘ สัปดาห์
สำหรับโยคีประเภทนี้
ครูบาอาจารย์จะไม่มีภาระที่จะต้องแนะนำมาก
เพราะจะสามารถแก้ไขวิธีการปฏิบัติของโยคีได้ง่าย
และ หากโยคีปฏิบัติตามคำแนะนำของครูบาอาจารย์
โยคีก็จะสามารถพัฒนาการปฏิบัติของตนต่อไปได้
๔. โยคีที่พูดน้อยและรายงานผลการปฏิบัติสับสน
โยคีเหล่านี้จะให้คำแนะนำได้ยากลำบากมาก
ดังนี้
โยคีทั้งหลายคงสามารถแจกแจงไว้ว่าตนเองเป็นโยคีประเภทใด
อย่างไรก็ตามโปรดระลึกว่าโยคีไม่ควรตั้งความปรารถนาในความก้าวหน้ามากเกินไปสิ่งที่โยคี
ต้องทำมีอย่างเดียวเท่านั้น
คือ มีสติสัมปชัญญะ
ระลึกรู้การเกิดขึ้นของอารมณ์ในทุกๆ
ขณะ นี้คือหน้าที่หรือความรับผิดชอบประการเดียวของโยคี
|
ปุจฉา ๓ |
หากในขณะที่เจริญภาวนาอยู่
มีอารมณ์สองอย่างหรือหลายอย่างเกิดขึ้นอย่างเด่นชัดในขณะเดียวกัน
เช่น อาการปวดหลัง
กับอาการพอง-
ยุบของท้องจึงดูเหมือน
ว่ามีอารมณ์
ให้เลือกที่จะใส่ใจกำหนดจดจ่อลงไป
ตราบเท่าที่อารมณ์นั้นเป็นปรมัตถสภาวะ
มิใช่บัญญัติอารมณ์
จะสำคัญไหม
ว่าเราจะต้องเลือกกำหนดรู้อารมณ์ใด
โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งเมื่อสมาธิ
ของผู้ปฏิบัติมีความตั้งมั่นและสามารถจะดำรงอยู่กับอารมณ์ใดก็ได้ตามแต่ผู้ปฏิบัติจะต้องการ
|
วิสัชชนา
๓ |
ตามธรรมนิทเทส
หรือพระธรรมเทศนาในพระคัมภีร์รวมทั้งคำสอนของท่านอาจารย์มหาสีสยาด่อ
มีคำกล่าวว่า
“ ใช้อารมณ์ที่ชัดเจนเป็นอารมณ์ในการเจริญ
วิปัสสนา
ภาวนา” ขณะที่นั่ง
อาการพอง-
ยุบของท้องจะเป็นอารมณ์ที่ชัดเจนที่สุดสำหรับคนส่วนใหญ่
โดยเฉพาะสำหรับผู้เริ่มเจริญภาวนา
คำถามก็คือ
“ เราจำเป็น
ต้องกำหนด
รู้อารมณ
์ ์เพียงอารมณ์เดียวหรือไม่”
หากมีอารมณ์อื่นปรากฏชัดเจน
เช่น อาการคัน
ความเจ็บปวด
ความคิด ฯลฯ
หากอารมณ์ใหม่ๆ
เหล่านี้เกิดขึ้น
อย่างเด่นชัด
ผู้ปฏิบัติ
ิก็สามารถทิ้งอารมณ์
ที่เป็นหลักในการเจริญภาวนาเพื่อไปกำหนดรู้อารมณ์ที่ชัดเจนดังกล่าวได้แต่ถ้าผู้ปฏิบัติทิ้งอารมณ์หลักแล้วก็ไม่กำหนด
อารมณ์ใหม่ที่เด่นชัดด้วย
ก็นับว่า
ผู้ปฏิบัติพลาดที่จะกำหนด
รู้ หรือขาดสติไปแล้ว
ดังนั้นหากอารมณ์ใหม่เกิดขึ้นอย่างเด่นชัด
ผู้ปฏิบัติก็สามารถกำหนดรู้
อารมณ์ ดังกล่าวได้
และเมื่ออารมณ์นั้นจาง
คลายหรือหมดสิ้นไป
ผู้ปฏิบัติก็พึงกลับไป
กำหนดรู้อารมณ์หลักที่เด่นชัด
คือ พอง- ยุบอีกหากไม่มีอารมณ์เด่นชัดอื่นใดปรากฏ
ขึ้น ผู้ปฏิบัติก็สามารถกำหนดรู้อารมณ์หลัก
คือ พอง- ยุบไปได้เรื่อยๆ
|
กำหนดรู้อารมณ์ใดก็ได้ที่เด่นชัดที่สุด |
เมื่อสมาธิมีความตั้งมั่น
และปัญญาญาณของผู้ปฏิบัติเจริญขึ้น
ผู้ปฏิบัติจะระลึกรู้เพียง
“ สภาวะ” ของอารมณ์ต่างๆ
เท่านั้น
ดังนั้นขณะที่กำหนดรู้อาการพอง-
ยุบ ผู้ปฏิบัติ
ก็จะระลึกรู้
“ สภาวลักษณะ”
อันได้แก่
ความเคร่งตึง
ผ่อนคลาย
หรือเคลื่อนไหว
เป็นต้น ไปพร้อมกัน
นอกจากนี้ผู้ปฏิบัติก็จะระลึกรู้
“ สามัญลักษณะ”
ทั้ง สามประการ
ด้วย (คืออนิจจัง
ทุกขัง และอนัตตา)
หากผู้ปฏิบัติสามารถระลึกรู้อารมณ์ได้ในลักษณะนี้อย่างราบรื่น
และเลื่อนไหลไปเรื่อยๆ
ผู้ปฏิบัติก็สามารถ
กำหนด รู้อยู่กับอารมณ
์ ์หลัก โดยไม่ต้อง
กำหนดรู้อารมณ์อื่น
แม้ว่าจะมีอารมณ์ใหม่ๆ
เกิดขึ้นได้
ไม่ถือว่าผิดแต่อย่างใด
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า
ขณะที่ผู้ปฏิบัติกำหนดรู้อารมณ์หลักและมีอารมณ์อื่นที่เด่นชัดเกิดขึ้น
ผู้ปฏิบัติสามารถเลือกอารมณ์ใดก็ได้ที่เด่นชัดสุดเป็นอารมณ์ภาวนา
หากอารมณ์
์หลักและอารมณ์ที่เกิดขึ้นใหม่มีความเด่นชัดพอๆ
กัน ผู้ปฏิบัติจะกำหนดรู้อารมณ์ใดก็ได้ตามต้องการ
|
ระลึกรู้ด้วยใจ |
เมื่อผู้ปฏิบัติเจริญภาวนาเรื่อยไปโดยราบรื่นผู้ปฏิบัติจะสามารถกำหนดรู้อารมณ์ต่างๆ
ได้ โดยไม่ต้องใช้คำ
บริกรรมเป็นเพียงการระลึกรู้ด้วยใจ
การภาวนาจะมี
พลัง ขับเคลื่อน
ไปเองตามธรรมชาติ
ผู้ปฏิบัติจะไม่รู้สึกอยากจะเปลี่ยนอารมณ์ภาวนา
ราวกับว่าจิตของผู้ปฏิบัติเกาะติดอยู่กับอารมณ์อย่างแนบแน่นไปเอง
ยกตัว อย่างเช่น
ขณะที่กำหนด
รู้อาการพอง
- ยุบ ผู้ปฏิบัติจะระลึกรู้ความเคร่งตึงเคลื่อนไหวต่างๆ
ของท้องได้อย่างเด่นชัดมากลักษณาการของจิต
เช่นนี้จะเกิดขึ้นโดย
เฉพาะเมื่อผู้ปฏิบัติ
เข้าถึงวิปัสสนาญาณขั้นสูง
ขึ้นไป ดังเช่น
สังขารุเปกขาญาณ
ซึ่งเป็นสภาวะแห่งการระลึกรู้สังขารธรรมทั้งปวงด้วยความเป็นกลางจิตของผู้
ปฏิบัติจะอ่อนโยน
นุ่มนวลและ
ลุ่มลึกอย่างยิ่ง
ขนาดที่แม้ผู้ปฏิบัติจะ
พยายามส่งจิตออกไประลึก
จดจำ หรือคิดใคร่ครวญ
ถึงกามคุณอารมณ์ใดๆ
จิตของผู้ปฏิบัต
ิ ิก็จะไม่ออก
ไปเสวยอารมณ์ดังกล่าว
แต่จะกลับมาตั้งมั่นเป็นกลางอยู่ราวกับการหมุนกลับ
มาเองของบูมเมอแรงเมื่อถูกขว้างออก
ไปฉันนั้น
|
ไม่เลือกอารมณ์ภาวนา |
ผู้ปฏิบัติบางคนอาจต้องการเลือกกำหนดรู้เฉพาะอารมณ์ภาวนาที่ตนเองชอบ
อาตมาไม่แนะนำให้ทำเช่นนั้น
เพราะไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่
สิ่งสำคัญที่สุดก
็คือการ เจริญ
ภาวนาจะต้องดำเนินไปตามวิถีแห่งอริยธรรมทั้งแปด
เมื่อเราเจริญมรรคมีองค์แปดอยู่นั้น
หากการปฏิบัติของเรายังไม่มีพลังเพียงพอ
เราก็ต้องเสริมกำลัง
ให้การเจริญภาวนา
มีความเข้มแข็ง
ดังนั้น ผู้ปฏิบัติไม่ควรกังวลว่าจะต้องเลือกกำหนดรู้อารมณ์ใด
อะไรก็ตามที่ปรากฏขึ้นในการรับรู้ให้ถือเสียว่าเรากำลัง
เจริญ อริยมรรคทั้งแปดได้
การเจริญภาวนา
ของผู้ปฏิบัติก็ย่อมจะถูกต้อง
|
เจริญภาวนาตามวิถีแห่งมรรค
๘ |
การเจริญภาวนาตามวิถีแห่งมรรคมีองค์แปดคืออย่างไรเล่า
ตราบเท่าที่ผู้ปฏิบัติกำหนดรู้สภาวะลักษณะและสามัญลักษณะของอารมณ์ใดๆที่ปรากฎเด่นชัดได้อย่าง
ถูกตรง ก็ชื่อว่าผู้ปฏิบัติเจริญศีลธรรมอย่างครบถ้วน
เมื่อสมาธิและสติของผู้ปฏิบัติหยั่งลึกและมั่นคงมากขึ้น
ก็เรียกว่า
ผู้ปฏิบัติกำลังเจริญสมาธิมรรคอยู่
และเมื่อ
การกำหนดรู้ของ
ผู้ปฏิบัติ
เท่าทันปัจจุบันอารมณ์จนผู้ปฏิบัติประจักษ์แจ้งธรรมชาติอันแท้จริงของอารมณ์ทั้งปวง
ก็เท่ากับผู้ปฏิบัติเจริญ
ปัญญามรรคอยู่แล้ว
ดังนั้น ในขณะที่ผู้ปฏิบัติเจริญ
ภาวนาอยู่
ไม่ว่าผู้
ปฏิบัติจะใช้อารมณ์ภาวนาอันใดตราบเท่าที่ผู้ปฏิบัติดำเนินอยู่ในวิถีแห่งมรรคมีองค์แปดข้างต้น
( ซึ่งสรุปรวมได้
สามกลุ่มคือ
ศีล สมาธิ
และปัญญา)
ก็นับว่าเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง
เมื่อผู้ปฏิบัติเลือกอารมณ์ภาวนาเพื่อกำหนดรู้นั้นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นลึกๆในจิตใจของผู้ปฏิบัติ
คือความรู้สึกปฏิเสธผลักไสอารมณ์ต่างๆ
หากเราปรารถนาอารมณ์ดีๆ
หรือ อารมณ์ที่เราชอบ
ก็เทียบเท่ากับความอยาก
( โลภะ) ที่จะได้อารมณ์ดีๆนั้นซึงนับเป็นภาวะจิตที่เป็นอกุศลในทางตรงกันข้ามหากมีอารมณ์ที่เราไม่ชอบใจปรากฏ
ขึ้น และเราก
็ ็รู้สึกไม่พอใจ
ความไม่พึงพอใจก็คือ
โทสะหรือพยาบาทอีกรูปแบบหนึ่ง
ดังนั้นไม่ว่าจะมีอารมณ์ที่ดีหรือไม่ดี
หน้าที่ของผู้ปฏิบัติก็คือกำหนดรู้สภาวะ
ที่แท้ของ
อารมณ์เหล่านั้น
ด้วยความเที่ยงตรง
โดยไม่เลือก
ไม่วิเคราะห์ไตร่ตรองใดๆ
ไม่ว่าจะกำหนดรู้อารมณ์ใดๆ
ทั้งชอบใจหรือไม่ชอบใจให้กำหนดรับรู้อารมณ์
เหล่านั้นไปตาม
สภาวะที่เป็นจริง
ผู้ปฏิบัติ
ต้องเพียรพยายามดำเนินไปตามทางแห่งมรรคมีองค์แปดอยู่เสมอ
|
ปุจฉา ๔ |
อะไรคือเครื่องบ่งชี้ว่า
วิปัสสนาญาณได้เกิดขึ้นแล้ว
|
วิสัชชนา ๔ |
อาตมาจะขอถามผู้ที่ตั้งคำถามข้างต้นดังนี้
: ขณะที่กำลังกำหนดรู้อารมณ์ที่เป็นหลักในการเจริญภาวนาหรืออารมณ์ใดก็ตามที่เกิดขึ้นผู้ปฏิบัติสามารถระลึกรู้สภาว
ลักษณะ หรือสามัญลักษณะของอารมณ์นั้นได้หรือไม่
ผู้ปฏิบัติเกิดความระลึกรู้ว่าสภาวธรรมต่างๆ
ล้วนไม่คงทนถาวรเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปหรือไม่หากผู้ปฏิบัติสังเกต
เห็นลักษณะ
ทั้งสอง (คือสภาวลักษณะและสามัญลักษณ)
แล้วก็เรียกได้ว่าวิปัสสนาญาณได้เกิดขึ้นแล้ว
|
ไตรลักษณ์
สามลักษณะ
|
ในการระลึกรู้สามัญลักษณะ
( เช่น อนิจจัง)
นั้น ผู้ปฏิบัติจะเกิดความเข้าใจ
หรือประจักษ์แจ้งลักษณะสามประการคือ
|
ประการที่หนึ่ง |
ผู้ปฏิบัติจะต้องระลึกรู้ความไม่เที่ยง(อนิจจัง) |
ประการที่สอง |
ผู้ปฏิบัติจะต้องระลึกรู้ลักษณะเฉพาะของความไม่เที่ยง(อนิจจลักษณะ) |
ประการที่สาม |
ผู้ปฏิบัติจะต้องระลึกรู้ความประจักษ์แจ้งในลักษณะเฉะพาะแห่งความไม่เที่ยงนั้น(อนิจจานุปัสสนา) |
ขณะที่ผู้ปฏิบัติกำหนดรู้กายและจิตอยู่นั้น
ผู้ปฏิบัติจะสังเกตเห็นลักษณะเฉพาะที่เป็นแก่นแท้
หรือสภาวะที่แท้จริงของรูปนาม
เช่น ความเคร่งตึงเคลื่อนไหวร้อน
เย็น เหนียว
เกาะกุม อ่อน
เบา แข็งกระด้าง
รวมทั้งการเห็น
ได้ยิน ได้กลิ่น
ลิ้มรส สัมผัสทางกาย
และความรู้สึกในใจต่างๆ
เหล่านี้เรียกว่า“นามรูปสภาวะ”
หรือ สภาวะ
ตามธรรมชาติ
ของร่างกายและจิตใจ
ซึ่งล้วนแต่ไม่คงทนถาวรสภาวลักษณะเหล่านี้เป็นสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นหรือปรากฏขึ้นจากเหตุปัจจัยหรือเงื่อนไข
ต่างๆ ซึ่งไม่เคยอยู่คงที่
เลื่อนไหลเกิดดับสลับกันไปอยู่ตลอดเวลา
สภาพแห่งการเกิดขึ้นและดับไปของสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นทั้งหลายนี้
ในคัมภีร์เรียกว่าสภาวธรรม
หรือ สภาวะ
ลักษณะ อาการลักขณะ
อนิจจลักขณะหรือสามัญลักขณะ
เนื่องจากเป็นลักษณะที่เป็นสามัญหรือเสมอกันของสิ่งทั้งปวง
เมื่อผู้ปฏิบัติกำหนดรู้สภาวลักขณะดังนี้
ผู้ปฏิบัติย่อมสังเกตเห็นการเคลื่อนที่ทดแทนกันของสิ่งที่ปรากฏอยู่
ก่อนซึ่งดับไปและสิ่งที่ปรากฎใหม่เกิดขึ้นแทนเป็น
ขณะๆ เลื่อนไหลไม่ขาดสาย
การประจักษ์แจ้งอนิจจลักขณะดังนี้
ก็คืออนิจจานุปัสสนาปัญญา
คำว่า “ วิ”
หมายถึง หลากหลายลักษณาการซึ่งลักษณะที่กล่าวถึงใน
ที่นี้คือ
ความไม่เที่ยง
“ปัสสนา”
คือ การเห็น
เมื่อบุคคลได้เห็นความไม่เที่ยงคือการเกิดขึ้นและดับไปของรูปนามแล้ว
จึงกล่าวว่า
วิปัสสนาปัญญาได้เกิดขึ้นแก่บุคคล
ผู้นั้นแล้ว
|
ความหมายที่แท้จริงของ
“ วิปัสสนา”
|
ในยามที่เรามองเห็นสิ่งต่างๆร่วงโรยสูญสลายไปเช่นเห็นต้นไม้ล้มลงหรือภาชนะแตกหัก
เรามักจะคิดว่า
“ อนิจจา..................
อะไรๆก็ไม่เที่ยง”
แต่ความคิด
เช่นนีE#3618;ังไม่ใช่ลักษณะที่แท้จริงของอนิจจังเพราะยังเป็นการรู้อนิจจังโดยความคิดนึกหรือ
“ อนิจจสัญญา”
มิใช่ “ อนิจจลักขณะ”
ที่แท้ต่อเมื่อบุคคลประจักษ์การ
แจ้ง เกิดขึ้นและดับไป
ของสภาวะรูปและนามต่างๆ
ที่กำลังกำหนดรู้อยู่จึงกล่าวได้ว่าบุคคลผู้นั้นรู้ชัดอนิจจลักขณะแล้วเมื่อเราเห็นอนิจลักขณะเราย่อมใคร่ครวญ
และประจักษ์ชัดอยู่เองว่า
สิ่งทั้งหลายล้วนไม่เที่ยงซึ่งนับเป็นอนิจจานุปัสสนา
เมื่อเห็นแจ้งดังนี้เราอาจจะระลึกรู้ด้วยว่าสิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นย่อมไม่น่าพึงพอใจแล้ว
เราจะระลึกต่อไปว่าสิ่งทั้งปวงไม่มีตัวตนที่จะ
บังคับได้ดังน
ี้ ี้เมื่อเรารู้ชัดอนิจจลักขณะก็กล่าวได้ว่าเราจะระลึกรู้ทุกขลักขณะและอนัตตลักขณะไปด้วย
ความหมาย
ที่สมบูรณ์ของ
“ วิปัสสนา”
นั่นก็คือการเห็นโดยลักษณาการ
ต่างๆ อันได้แก่
การเห็นโดยความเป็นอนิจจัง
ทุกขัง อนัตตา
นั่นเอง การระลึกรู้เพียงสภาวลักษณะ
เช่น ความเคร่งตึง
เคลื่อนไหว
ฯลฯ ต่างๆ
นั้นยังไม่เพียงพอหรือแม้แต่การรู้เหต
ุปัจจัยของนามรูปต่างๆ
ก็ยังไม่เรียกว่าเกิดวิปัสสนาปัญญาขึ้นแล้วต่อเมื่อบุคคล
เจริญ ปัญญาจนประจักษ์แจ้ง
การเกิดขึ้นและดับไปของอารมณ์ที่กำหนดรู้อยู่
หรือเห็นความเป็น
ทุกข์ไม่น่า
พึงพอใจทนอยู่ไม่ได้
หรือความปราศจากตัวตนที่จะ
บังคับบัญชาได้ของรูปนามต่างๆ
แล้ว จึงจะเรียกได้ว่าวิปัสสนาญาณได้บังเกิดขึ้นแล้ว
|
|