พระพุทธศาสนาสำหรับผู้เริ่มศึกษา (ตอนที่๒๐)

ศาสตราจารย์เกียรติคุณแสง จันทร์งาม

หลักความเชื่อ : เรื่องภพภูมิต่าง ๆ

๒๐ . ๑ สวรรค์ ๖ ชั้น

        ในตอนที่ ๑๘ ได้พูดถึงสัตว์ประเภทสูงสุดคืออรูปพรหม ๔ ชั้นที่ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่กลุ่มพลังงานจิตล้วนๆ ไม่มีส่วนที่เป็นรูปหรือสสารเลย ในตอนที่ ๑๙ ได้พูดถึงสัตว์ชั้น ๒ รองลงมา คือรูปพรหม ซึ่งมีตัวตนประกอบ ด้วยรูปละเอียดอะไรบางอย่าง มีรวมทั้งหมด ๑๖ ชั้น แบ่งตาม ความละเอียดประณีตของจิตใจฌานขั้นต่างๆ ทั้งอรูปพรหมและรูปพรหม มีชีวิตอยู่ได้เพราะอาหารคือปิติที่เป็นผลของฌานเท่านั้น ไม่เกี่ยว กับกามคือรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสแต่อย่างใด ดังนั้นจึงไม่มีเพศชายหรือหญิง จะเรียกว่าอยู่เหนือเพศก็ได้

        ส่วนสัตว์ในสวรรค์ ๖ ชั้นที่จะกล่าวต่อไปนี้ยังมีเรื่องกาม ยังอาศัยรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เป็นอาหาร เลี้ยงชีพ ยังมีเพศชายเพศหญิง บางทีท่านจึงเรียกรวม ๆ ว่าชั้นกามาวจร แปลว่าชั้นที่เกี่ยวข้องกับกาม สัตว์ที่เกิดในสวรรค์ ๖ ชั้น ถ้าเป็นเพศชายเรียกว่า เทโวหรือเทวา (พหุพจน์) หรือเทวปุตฺโต ไทย นิยมเรียกว่า เทพบ้าง เทวบุตรบ้าง ถ้าเป็นเพศหญิงเรียกว่าเทวีบ้าง เทวธิตาบ้าง เนื่องจากคำว่า เทวบุตรและ เทวธิดาแปลว่าบุตรหรือธิดาของเทพ แสดงว่า เทพก็มีลูกชายลูกหญิงด้วยอย่างนั้นหรือ ท่านอธิบายว่า เทพองค์ใดเกิดผุดขึ้นที่ตักของเทพ ถ้าเป็นชายนิยมเรียกกันว่าเป็นบุตรของเทพองค์นั้น ถ้าเกิดผุดขึ้นเป็นหญิงก็เรียกว่าเทวธิดา เป็นการสมมติเรียก มิได้หมายความว่า เทพ ตั้งครรภ์แล้วคลอดออกมาเหมือนมนุษย์ เทพทั้งปวงมีกำเนิดแบบโอปปาติกะ คือเกิดผุดขึ้นมาเป็นตัวตนสมบูรณ์ทันที แต่ความรู้สึกผูกพัน ในฐานะพ่อแม่กับลูกคงจะมีอยู่เป็นธรรมดา ต่อมาท่านใช้คำว่าเทวดาเป็นคำกลาง ๆ ใช้แทนได้ทั้งชายและหญิง

             ในด้านร่างกาย ท่านบอกว่า เทวดาทั้งหลายยังมีรูปร่างประกอบด้วยธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟเช่นเดียวกับมนุษย์ แต่ธาตุทั้ง ๔คงรวมกัน อยู่อย่างบางเบามาก จนสามารถไปไหนมาไหนได้ด้วยการเหาะไปอย่างรวดเร็ว จนกล่าวกันเป็นสำนวนว่าเทวดาเดินทางจากสวรรค์มาสู่โลก มนุษย์ในชั่วลัดมือเดียว หมายความว่าใช้เวลา เท่ากับดีดนิ้วมือเท่านั้น เนื่องจากธาตุทั้ง ๔ รวมกันอยู่อย่างบางเบา มนุษย์จึงมองไม่เห็น เทวดา นอกจากเทวดาจะแสดงตัวให้เห็น กายเทวดาที่คนมองไม่เห็นนี้เรียกว่า อทิสสมานกาย ( กายที่ไม่ปรากฎ) หรือกายทิพย์ แต่ใน ระหว่างเทวดาด้วยกันคงจะมองเห็นกันและกันแบบเดียวกับคนมองเห็นคนด้วยกัน

        เทวดาโดยทั่วไป มีรูปร่างสูงใหญ่มาก ถ้าเทียบกับมาตรฐานของมนุษย์ เช่นพระอินทร์หรือท้าวสักกะซึ่งเป็นประธานหรือราชาของเทวดา ชั้นดาวดึงส์ มีความสูงถึง ๓ คาวุตหรือสูง ๖, ๐๐๐ วา ถ้าคิดอย่างหยาบๆ ว่า ๑ วาเท่ากับ ๒ เมตร พระอินทร์ก็สูงถึง ๑๒, ๐๐๐ เมตร หรือสูง ๑๒ กิโลเมตรทีเดียว สูงยิ่งกว่ายอดเขาเอ็ฟเวอเร็สต์แห่งภูเขาหิมาลัยเสียอีก แต่เราต้องไม่ลืมว่าคนที่มีขนาดสูงใหญ่อย่างนั้น ถ้าไปอยู่ในห้วง อวกาศ อันกว้างใหญ่ไพศาลแล้ว ก็จะมีขนาดเล็กนิดเดียวเท่านั้น แม้แต่โลกของเราทั้งโลก ถ้าออกไปยืนดูในอวกาศไกลออกไปเพียง ประมาณ ๓๐๐ ล้าน กิโลเมตรเท่านั้น ก็มองไม่เห็นแล้ว

        ในด้านอาหารการกิน ท่านบอกว่า เทวดากินอาหารทิพย์ แต่ไม่ได้บอกชัดเจนว่าอาหารทิพย์นั้นคืออะไร ถ้า จะให้สันนิษฐานอาหารทิพย์ ื์ก็คือธาตุ ๔ ในอวกาศ นั่นเอง ได้ทราบว่าในอวกาศ ยังมีธาตุบางอย่าง เฉพาะอย่างยิ่ง ธาตุไฮโดรเจนกระจายอยู่ทั่วไป เทวดาอาจจะกิน อาหาร โดยวิธีดูดเอาอณูไฮโดรเจนเข้ามารวมกับ ร่างของตน เพื่อทดแทนกับธาตุเก่าที่หลุดร่วงไปก็ได้ อาหารทิพย์แบบนี้มนุษย์คงกินไม่ได้ เพราะฉะนั้น ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพระมารดาบนสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์เป็นเวลา ๓ เดือน จึงต้องเสด็จลงไปบิณฑบาตในโลกมนุษย์

           ในด้านที่อยู่อาศัย เทวดาทั้งหลายอาศัยอยู่ในวิมานหรือปราสาทที่ทำด้วยเงิน ทองและอัญญมณีอันมีค่าต่างๆ วิมานเหล่านั้นประกอบด้วย เสาและหลังคา หน้าบันอันวิจิตรสวยงามหยดย้อย ตั้งอยู่ท่ามกลางสวนอันน่ารื่นรมย์ ห่างกันในระยะพอสมควร วิมานนั้นอาจจะโยกย้ายไปอย ู่ ู่ที่ไหนก็ได้ตามความปรารถนาของเจ้าของ เรื่องของวิมานนี้ฟังดูแล้วก็คล้ายคลึงกับปราสาทของเศรษฐี มหาเศรษฐีและพระราชวังของพระ ราชามหากษัตริย์ในโลกมนุษย์ เข้าใจว่าจะเป็นวิมานทิพย์เช่นเดียว กับกายทิพย์ของเทวดา คือมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ถ้าเป็นวิมานที่ ประกอบด้วยวัสดุธรรมดา มนุษย์อวกาศชาวอเมริกันที่เดินทางไปถึงดวงจันทร์น่าจะเห็นบ้าง สักหลังสองหลัง แต่นี้ไม่พบอะไรเลย จึงต้อง เป็นวิมานทิพย์เกิดจากการคิดเนรมิตสร้างของเทวดาแต่ละองค์

             เกี่ยวกับอานุภาพหรือความสามารถพิเศษเหนือธรรมชาติ ท่านกล่าวว่า เทวดามีอำนาจพิเศษบางประการ โดยกำเนิด เช่น หูทิพย์ ตาทิพย์ การรู้ ความคิดในใจของผู้อื่น และการแสดงฤทธิ์ได้ต่างๆ ในขณะที่มนุษย์จะต้องฝึกจิตด้วยสมาธิจนขึ้นถึงขั้นฌานที่ ๔ หรือ ๕ อย่าง ชำนิชำนาญจึงจะสามารถมีอำนาจ พิเศษเหล่านี้ได้ ในพุทธประวัติ มีหลายเรื่องที่แสดงว่า เทวดาล่วงรู้วาระจิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว มาช่วยพระพุทธองค์ เช่น คราวที่ตรัสรู้ใหม่ๆ พ่อค้าสองพี่น้อง คือตปุสสะและภัลลิกะถวายข้าวสัตตุก้อนและข้าวสัตตุผงแก่พระพุทธองค์ ตอนนั้นยังไม่มีบริขารสำคัญคือบาตร ท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ ทราบวาระจิตของพระพุทธองค์ จึงนำบาตรมาถวายพร้อมกันใบละองค์ รวมเป็น ๔ ใบ พระพุทธองค์จึงทรงอธิษฐานจิตให้เป็นใบเดียวกัน เป็นต้น

             ในด้านความสุขนั้น เทวดาทั้งหลายต่างเสวยกามสุขกันอย่างเต็มที่เทวบุตรองค์หนึ่งมีนางเทพอัปสรผู้สวยสดงดงามเป็นบริวารนับร้อย นับพัน บางตนก็นับหมื่น คอยบำเรอด้วยกามสุขอันเป็นทิพย์อยู่ในวิมานของตน โดยไม่มีความทุกข์กายทุกข์ใจใด ๆ ของมนุษย์ เพราะเทวดา ทั้งหลายไม่มีอาชีพหรือภารกิจใดๆ ที่จะต้องทำให้เกิดความวิตกกังวล

        ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ ( สิริจนฺโท จันทร์) วัดบรมนิวาสกล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า เทวดาทั้งหลายยังมีราคัคคิ ไฟคือราคะ โทสัคคิ ไฟคือโทสะ โมหัคคิ ไฟคือโมหะ เผาลนจิตใจอยู่ตลอดเวลา คนที่ยังมีไฟ ๓ กองเผาลนอยู่จะมีความสุขได้อย่างไร ยิ่งกว่านั้นชาวสวรรค์ยังมีพระราชาหรือเทวราชคอยปกครองดูแลอยู่ แสดงว่ายังมีสังคม ยังมีปัญหายังมีการบริหารจัดการกันอยู่ สรุปแล้วแม้แต่ชีวิตในสวรรค์ก็ยังมีทุกข์มีโทษอยู่ ด้วยเหตุนี้เองในการแสดงธรรมโปรดคนทั่วไป แบบที่เรียกว่า อนุปุพพิกถา คือการแสดงธรรมไปตามลำดับ ตั้งแต่ต่ำไปหาสูงนั้น เมื่อทรงแสดงความสุขยิ่งยวดในสวรรค์แล้ว จึงทรงแสดงกามาทีนวกถา คือแสดงโทษ ของกามเป็นอันดับต่อไป เมื่อคนฟังหมดความอาลัยในกามสุขแล้ว จึงทรงนำเข้าสู่หลักพระธรรมอันสูงสุด คืออริยสัจ ๔ อันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาเป็นขั้นสุดท้าย

        เกี่ยวกับอายุของเทวดาในสวรรค์ ๖ ชั้นนั้น เทวดาในแต่ละชั้นมีอายุไม่เท่ากัน เทวดาชั้นต่ำอายุน้อย เทวดาชั้นสูงอายุมาก ท่านให้ตัวเลขไว้ดังนี้

เทวโลก
อายุเป็นปีทิพย์

เท่ากับปีของมนุษย์

จาตุมหาราชิกา

ดาวดึงส์

ยามา

ดุสิต

นิมมานรดี

ปรนิมมิตวสวัตดี

๕๐๐

๑ , ๐๐๐

๒ , ๐๐๐

๔ , ๐๐๐

๘ , ๐๐๐

๑๖ , ๐๐๐

๙ , ๐๐๐, ๐๐๐

๓๖ , ๐๐๐, ๐๐๐

๑๔๔ , ๐๐๐, ๐๐๐

๕๗๖ , ๐๐๐, ๐๐๐

๒ , ๓๐๔, ๐๐๐, ๐๐๐

๙๒๑ , ๖๐๐, ๐๐๐, ๐๐๐

        นอกจากนี้ ระยะเวลา ๑ วันของเทวดาแต่ละชั้นยังไม่เท่ากันอีกด้วย เช่น

๑ วันของเทวโลกชั้น

เท่ากับ
ปีในโลกมนุษย์

จาตุมหาราชิกา

ดาวดึงส์

ยามา

ดุสิต

นิมมานรดี

ปรนิมมิตวสวัตดี

=

=

=

=

=

=

๕๐

๑๐๐

๒๐๐

๔๐๐

๘๐๐

๑,๖๐๐

      

  เหตุที่กำหนดวันของสวรรค์ชั้นต่างๆ ไม่เท่ากัน อาจจะเป็นเพราะใช้การเคลื่อนไหวของจุดกำหนดเวลาต่างกัน เช่น มนุษย์เราใช ้ ้พระอาทิตย์เป็นจุดกำหนดเวลา ประกอบกับการเคลื่อนไหวหรือการหมุนรอบตัวเองของพิภพเป็นเครื่องวัดเวลา ถ้าโลกหมุนรอบตัวเอง หนึ่งรอบ มีด้านหันเข้าหาดวงอาทิตย์ ๑ ด้านใช้เวลา ๑๒ ชั่วโมง และด้านหันออกจากดวงอาทิตย์ ๑ ด้านใช้เวลา ๑๒ ชั่วโมง รวมเป็น ๒๔ ชั่วโมง เราสมมติเรียกว่า ๑ วัน ถ้าเทวดาในชั้นดาวดึงส์ใช้จุดอื่นในดาราจักรทางช้างเผือก นี้เป็นจุดกำหนดเวลา และจุดนั้นจะปรากฏ ขึ้นครั้ง ๑ ต้องใช้เวลาถึง ๑๐๐ ปี วันหนึ่งของเทวดาชั้นนั้นก็ต้องกินเวลาเท่ากับ ๑๐๐ ปีของโลกมนุษย์เป็นธรรมดา

        เรื่องของกาลเวลาเป็นเรื่องค่อนข้างสลับซับซ้อนและมีปัญหามาก ถ้าเราเอาเวลาของมนุษย์ไปเทียบกับเวลาของเทวดา เช่นเรื่อง พระพุทธเจ้าเสด็จไปแสดง พระอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นเวลา ๓ เดือนนั้น ชวนให้ถามว่าพระองค์ทรง ใช้เวลาของเทวดาหรือเวลาของมนุษย์ ถ้าใช้เวลาของเทวดา และถ้าพระองค์ไปอยู่ในสวรรค์จริงเป็นเวลา ๓ เดือนจะเท่ากับเวลาในเมือง มนุษย์ ๙, ๐๐๐ ปี ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงแม้เวลานี้พระพุทธองค์ก็คงยังแสดงธรรมไม่จบ เพราะนับตั้งแต่เวลาที่พระองค์เริ่มแสดงธรรมจน ถึงบัดนี้ เป็นเวลาเพียง ๒๕๖๘ ปีเท่านั้น ( พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปแสดงพระอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดา เมื่อพรรษาที่ ๗) แต่ตามเรื่อง ที่ท่านพรรณนาไว้ ก็บอกว่าแสดงจบแล้ว ในวันออกพรรษาก็เสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ที่เมืองสังกัสสะ จนชาวพุทธทำพิธีระลึกถึง เหตุการณ์ครั้งนั้น ด้วยพิธีตักบาตรเทโวโรหณะมาจนทุกวันนี้

        แต่ในความคิดของข้าพเจ้า เห็นว่าในเรื่องนี้ท่านน่าจะใช้เวลาของมนุษย์ คือใช้เวลาแสดงธรรมอยู่ในสวรรค์ ๓ วันเท่านั้น เวลา ๓ วัน นับว่านานเพียงพอสำหรับการ แสดงพระอภิธรรม ๖ คัมภีร์ ( คัมภีร์กถาวัตถุ พระโมคคัลลีบุตร ติสสเถระ แต่งขึ้นและเพิ่งได้รับการรับรองเข้า เป็นคัมภีร์ที่ ๗ ในการทำสังคายนาครั้งที่ ๓ ในสมัย พระเจ้าอโศกมหาราช หลังพุทธกาลถึง ๒๐๐ ปีเศษ) และเป็นการแสดงแก่พระพุทธ มารดาที่สติปัญญาสูงอยู่แล้ว สามารถเข้าใจพระอภิธรรม ได้อย่างรวดเร็ว จึงไม่จำเป็นต้องใช้เวลาถึง ๓ เดือน ส่วนเวลาอีก ๒ เดือนกับ ๒๑ วันนั้น พระพุทธองค์คงจะทรงหลีกเร้นไปประทับพักผ่อนส่วนพระองค์ บนภูเขาแห่งใดแห่งหนึ่งโดย ไม่ให้ใครรู้ ก่อนจะถึงวันออกพรรษา จึงเสด็จขึ้นไปแสดงพระอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดาเสร็จแล้ว เสด็จลงมารับราตรีบนยอดเขานั้น พอวันออกพรรษาจึงปรากฏ พระองค์ ลงมาจากยอดเขา ท่ามกลางความชื่นชนยินดีของชาวพุทธ นี้เป็นการสันนิษฐานของข้าพเจ้า เพื่อแก้ปัญหาเรื่องความยุ่งยากของกาลเวลา ในสวรรค์ กับเวลา ในโลกมนุษย์ ท่านผู้ใดจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็แล้วแต่วิจารณญาณของท่าน

        ต่อไปนี้จะกล่าวถึงสวรรค์แต่ละชั้นโดยสังเขปต่อไป

 

๒๐ . ๒ สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา

        เป็นสวรรค์ชั้นต่ำที่สุด ตั้งอยู่บนยอดเขายุคันธร สูงจากพื้นโลกไปเป็นระยะทาง ๔๖ , ๐๐๐ โยชน์ ตัวเลขนี้ได้มาจากคัมภีร์ไตรภูมิ พระร่วงที่เขียนขึ้นในสมัย กรุงสุโขทัย แต่บางตำราก็บอกว่า อยู่ในโพรงใต้ภูเขาพระสุเมรุ บางแห่งก็บอกว่าอยู่ที่ เชิงเขาพระสุเมรุทั้ง ๔ ด้าน คือ ทิศตะวันออก ทิศใต้ ทิศตะวันตกและทิศเหนือ เขาพระสุเมรุมีรูปทรง ๔ เหลี่ยม แต่บางแห่งก็บอกว่ามีรูปทรงกลม เป็นแกนกลางของโลก เข้าใจว่า การเห็นว่าเขาพระสุเมรุมีรูปทรง ๔ เหลี่ยมหรือทรงกลมนั้นแล้วแต่คนจะมอง เพราะเขาพระสุเมรุนั้นใหญ่โตมากจนไม่มีใคร สามารถมองเห็นทั่วทั้งองค์ได้พร้อมกัน เห็นแต่ด้านที่อยู่ใกล้ตัว จึงอาจจะเข้าใจว่ากลมก็ได้เป็น ๔ เหลี่ยม ก็ได้

        ภูเขาสุเมรุนั้นยาว ๘๔, ๐๐๐ โยชน์ กว้าง ๘๔, ๐๐๐ โยชน์ หยั่งลงไปในมหาสมุทร ๘๔, ๐๐๐ โยชน์ สูงขึ้นไปจากระดับมหาสมุทร ๘๔, ๐๐๐ โยชน์ นับว่า ยิ่งใหญ่กว่าขุนเขาทั้งปวงและเป็นราชาแห่งเขาทั้งปวง เขาสุเมรุนี้มีชื่ออื่นๆ อีก คือ สิเนรุ เนรุ เมรุ และติทิวาธาร

        สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ตั้งตามชื่อเทวมหาราช ๔ องค์ ผู้ดูแลคุ้มครองทิศทั้ง ๔ แห่งขุนเขาสุเมรุ คือ ท้าวธตรฐะดูแลด้านทิศตะวันออก ท้าววิรุฬหกะ ดูแลด้าน ทิศใต้ ท้าววิรูปักขะ ดูแลด้านทิศตะวันตก ท้าวเวสสุวรรณ ( กุเวรุหรือไพสพ) ดูแลด้านทิศเหนือ