ในตอนที่
๑๘ ได้พูดถึงสัตว์ประเภทสูงสุดคืออรูปพรหม
๔ ชั้นที่ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่กลุ่มพลังงานจิตล้วนๆ
ไม่มีส่วนที่เป็นรูปหรือสสารเลย
ในตอนที่ ๑๙
ได้พูดถึงสัตว์ชั้น
๒ รองลงมา คือรูปพรหม
ซึ่งมีตัวตนประกอบ
ด้วยรูปละเอียดอะไรบางอย่าง
มีรวมทั้งหมด
๑๖ ชั้น แบ่งตาม
ความละเอียดประณีตของจิตใจฌานขั้นต่างๆ
ทั้งอรูปพรหมและรูปพรหม
มีชีวิตอยู่ได้เพราะอาหารคือปิติที่เป็นผลของฌานเท่านั้น
ไม่เกี่ยว
กับกามคือรูป
เสียง กลิ่น
รส สัมผัสแต่อย่างใด
ดังนั้นจึงไม่มีเพศชายหรือหญิง
จะเรียกว่าอยู่เหนือเพศก็ได้
ส่วนสัตว์ในสวรรค์
๖ ชั้นที่จะกล่าวต่อไปนี้ยังมีเรื่องกาม
ยังอาศัยรูป
เสียง กลิ่น
รส สัมผัส เป็นอาหาร
เลี้ยงชีพ
ยังมีเพศชายเพศหญิง
บางทีท่านจึงเรียกรวม
ๆ ว่าชั้นกามาวจร
แปลว่าชั้นที่เกี่ยวข้องกับกาม
สัตว์ที่เกิดในสวรรค์
๖ ชั้น ถ้าเป็นเพศชายเรียกว่า
เทโวหรือเทวา
(พหุพจน์) หรือเทวปุตฺโต
ไทย นิยมเรียกว่า
เทพบ้าง เทวบุตรบ้าง
ถ้าเป็นเพศหญิงเรียกว่าเทวีบ้าง
เทวธิตาบ้าง
เนื่องจากคำว่า
เทวบุตรและ
เทวธิดาแปลว่าบุตรหรือธิดาของเทพ
แสดงว่า เทพก็มีลูกชายลูกหญิงด้วยอย่างนั้นหรือ
ท่านอธิบายว่า
เทพองค์ใดเกิดผุดขึ้นที่ตักของเทพ
ถ้าเป็นชายนิยมเรียกกันว่าเป็นบุตรของเทพองค์นั้น
ถ้าเกิดผุดขึ้นเป็นหญิงก็เรียกว่าเทวธิดา
เป็นการสมมติเรียก
มิได้หมายความว่า
เทพ ตั้งครรภ์แล้วคลอดออกมาเหมือนมนุษย์
เทพทั้งปวงมีกำเนิดแบบโอปปาติกะ
คือเกิดผุดขึ้นมาเป็นตัวตนสมบูรณ์ทันที
แต่ความรู้สึกผูกพัน
ในฐานะพ่อแม่กับลูกคงจะมีอยู่เป็นธรรมดา
ต่อมาท่านใช้คำว่าเทวดาเป็นคำกลาง
ๆ ใช้แทนได้ทั้งชายและหญิง
ในด้านร่างกาย
ท่านบอกว่า
เทวดาทั้งหลายยังมีรูปร่างประกอบด้วยธาตุ
๔ คือ ดิน น้ำ
ลม ไฟเช่นเดียวกับมนุษย์
แต่ธาตุทั้ง
๔คงรวมกัน
อยู่อย่างบางเบามาก
จนสามารถไปไหนมาไหนได้ด้วยการเหาะไปอย่างรวดเร็ว
จนกล่าวกันเป็นสำนวนว่าเทวดาเดินทางจากสวรรค์มาสู่โลก
มนุษย์ในชั่วลัดมือเดียว
หมายความว่าใช้เวลา
เท่ากับดีดนิ้วมือเท่านั้น
เนื่องจากธาตุทั้ง
๔ รวมกันอยู่อย่างบางเบา
มนุษย์จึงมองไม่เห็น
เทวดา นอกจากเทวดาจะแสดงตัวให้เห็น
กายเทวดาที่คนมองไม่เห็นนี้เรียกว่า
อทิสสมานกาย
( กายที่ไม่ปรากฎ)
หรือกายทิพย์
แต่ใน ระหว่างเทวดาด้วยกันคงจะมองเห็นกันและกันแบบเดียวกับคนมองเห็นคนด้วยกัน
เทวดาโดยทั่วไป
มีรูปร่างสูงใหญ่มาก
ถ้าเทียบกับมาตรฐานของมนุษย์
เช่นพระอินทร์หรือท้าวสักกะซึ่งเป็นประธานหรือราชาของเทวดา
ชั้นดาวดึงส์
มีความสูงถึง
๓ คาวุตหรือสูง
๖, ๐๐๐ วา ถ้าคิดอย่างหยาบๆ
ว่า ๑ วาเท่ากับ
๒ เมตร พระอินทร์ก็สูงถึง
๑๒, ๐๐๐ เมตร
หรือสูง ๑๒
กิโลเมตรทีเดียว
สูงยิ่งกว่ายอดเขาเอ็ฟเวอเร็สต์แห่งภูเขาหิมาลัยเสียอีก
แต่เราต้องไม่ลืมว่าคนที่มีขนาดสูงใหญ่อย่างนั้น
ถ้าไปอยู่ในห้วง
อวกาศ อันกว้างใหญ่ไพศาลแล้ว
ก็จะมีขนาดเล็กนิดเดียวเท่านั้น
แม้แต่โลกของเราทั้งโลก
ถ้าออกไปยืนดูในอวกาศไกลออกไปเพียง
ประมาณ ๓๐๐
ล้าน กิโลเมตรเท่านั้น
ก็มองไม่เห็นแล้ว
ในด้านอาหารการกิน
ท่านบอกว่า
เทวดากินอาหารทิพย์
แต่ไม่ได้บอกชัดเจนว่าอาหารทิพย์นั้นคืออะไร
ถ้า จะให้สันนิษฐานอาหารทิพย์
ื์ก็คือธาตุ
๔ ในอวกาศ นั่นเอง
ได้ทราบว่าในอวกาศ
ยังมีธาตุบางอย่าง
เฉพาะอย่างยิ่ง
ธาตุไฮโดรเจนกระจายอยู่ทั่วไป
เทวดาอาจจะกิน
อาหาร โดยวิธีดูดเอาอณูไฮโดรเจนเข้ามารวมกับ
ร่างของตน
เพื่อทดแทนกับธาตุเก่าที่หลุดร่วงไปก็ได้
อาหารทิพย์แบบนี้มนุษย์คงกินไม่ได้
เพราะฉะนั้น
ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพระมารดาบนสวรรค์ชั้น
ดาวดึงส์เป็นเวลา
๓ เดือน จึงต้องเสด็จลงไปบิณฑบาตในโลกมนุษย์
ในด้านที่อยู่อาศัย
เทวดาทั้งหลายอาศัยอยู่ในวิมานหรือปราสาทที่ทำด้วยเงิน
ทองและอัญญมณีอันมีค่าต่างๆ
วิมานเหล่านั้นประกอบด้วย
เสาและหลังคา
หน้าบันอันวิจิตรสวยงามหยดย้อย
ตั้งอยู่ท่ามกลางสวนอันน่ารื่นรมย์
ห่างกันในระยะพอสมควร
วิมานนั้นอาจจะโยกย้ายไปอย
ู่ ู่ที่ไหนก็ได้ตามความปรารถนาของเจ้าของ
เรื่องของวิมานนี้ฟังดูแล้วก็คล้ายคลึงกับปราสาทของเศรษฐี
มหาเศรษฐีและพระราชวังของพระ
ราชามหากษัตริย์ในโลกมนุษย์
เข้าใจว่าจะเป็นวิมานทิพย์เช่นเดียว
กับกายทิพย์ของเทวดา
คือมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
ถ้าเป็นวิมานที่
ประกอบด้วยวัสดุธรรมดา
มนุษย์อวกาศชาวอเมริกันที่เดินทางไปถึงดวงจันทร์น่าจะเห็นบ้าง
สักหลังสองหลัง
แต่นี้ไม่พบอะไรเลย
จึงต้อง เป็นวิมานทิพย์เกิดจากการคิดเนรมิตสร้างของเทวดาแต่ละองค์
เกี่ยวกับอานุภาพหรือความสามารถพิเศษเหนือธรรมชาติ
ท่านกล่าวว่า
เทวดามีอำนาจพิเศษบางประการ
โดยกำเนิด
เช่น หูทิพย์
ตาทิพย์ การรู้
ความคิดในใจของผู้อื่น
และการแสดงฤทธิ์ได้ต่างๆ
ในขณะที่มนุษย์จะต้องฝึกจิตด้วยสมาธิจนขึ้นถึงขั้นฌานที่
๔ หรือ ๕ อย่าง
ชำนิชำนาญจึงจะสามารถมีอำนาจ
พิเศษเหล่านี้ได้
ในพุทธประวัติ
มีหลายเรื่องที่แสดงว่า
เทวดาล่วงรู้วาระจิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
มาช่วยพระพุทธองค์
เช่น คราวที่ตรัสรู้ใหม่ๆ
พ่อค้าสองพี่น้อง
คือตปุสสะและภัลลิกะถวายข้าวสัตตุก้อนและข้าวสัตตุผงแก่พระพุทธองค์
ตอนนั้นยังไม่มีบริขารสำคัญคือบาตร
ท้าวจตุโลกบาลทั้ง
๔ ทราบวาระจิตของพระพุทธองค์
จึงนำบาตรมาถวายพร้อมกันใบละองค์
รวมเป็น ๔ ใบ
พระพุทธองค์จึงทรงอธิษฐานจิตให้เป็นใบเดียวกัน
เป็นต้น
ในด้านความสุขนั้น
เทวดาทั้งหลายต่างเสวยกามสุขกันอย่างเต็มที่เทวบุตรองค์หนึ่งมีนางเทพอัปสรผู้สวยสดงดงามเป็นบริวารนับร้อย
นับพัน บางตนก็นับหมื่น
คอยบำเรอด้วยกามสุขอันเป็นทิพย์อยู่ในวิมานของตน
โดยไม่มีความทุกข์กายทุกข์ใจใด
ๆ ของมนุษย์
เพราะเทวดา
ทั้งหลายไม่มีอาชีพหรือภารกิจใดๆ
ที่จะต้องทำให้เกิดความวิตกกังวล
ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์
( สิริจนฺโท
จันทร์) วัดบรมนิวาสกล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า
เทวดาทั้งหลายยังมีราคัคคิ
ไฟคือราคะ
โทสัคคิ ไฟคือโทสะ
โมหัคคิ ไฟคือโมหะ
เผาลนจิตใจอยู่ตลอดเวลา
คนที่ยังมีไฟ
๓ กองเผาลนอยู่จะมีความสุขได้อย่างไร
ยิ่งกว่านั้นชาวสวรรค์ยังมีพระราชาหรือเทวราชคอยปกครองดูแลอยู่
แสดงว่ายังมีสังคม
ยังมีปัญหายังมีการบริหารจัดการกันอยู่
สรุปแล้วแม้แต่ชีวิตในสวรรค์ก็ยังมีทุกข์มีโทษอยู่
ด้วยเหตุนี้เองในการแสดงธรรมโปรดคนทั่วไป
แบบที่เรียกว่า
อนุปุพพิกถา
คือการแสดงธรรมไปตามลำดับ
ตั้งแต่ต่ำไปหาสูงนั้น
เมื่อทรงแสดงความสุขยิ่งยวดในสวรรค์แล้ว
จึงทรงแสดงกามาทีนวกถา
คือแสดงโทษ
ของกามเป็นอันดับต่อไป
เมื่อคนฟังหมดความอาลัยในกามสุขแล้ว
จึงทรงนำเข้าสู่หลักพระธรรมอันสูงสุด
คืออริยสัจ
๔ อันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาเป็นขั้นสุดท้าย
เกี่ยวกับอายุของเทวดาในสวรรค์
๖ ชั้นนั้น
เทวดาในแต่ละชั้นมีอายุไม่เท่ากัน
เทวดาชั้นต่ำอายุน้อย
เทวดาชั้นสูงอายุมาก
ท่านให้ตัวเลขไว้ดังนี้
|